ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัยและที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เผยวิกฤติความเชื่อมั่นของเครดิต สวิส (CreditSuisse) ว่า ตัวแปรสำคัญคือข่าวผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่าง SaudiNational Bank ซึ่งออกมาบอกว่า จะไม่ถือหุ้นเครดิตสวิสมากไปกว่านี้ หรือไม่เกิน 10% เพราะไม่อยากทำตามกฎระเบียบของยุโรป แต่นักลงทุนน่าจะคิดว่ามีอะไรผิดคาดคนขาดความไว้ใจ จึงเกิดภาวะแตกตื่นอย่างที่เห็น
พร้อมอธิบายต่อว่า จริงๆ แล้วเครดิต สวิสเป็นธนาคารที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในธุรกรรมด้านการบริหารความมั่งคั่งให้ลูกค้า แต่ที่ผ่านมาก็พบว่า มีข่าวในด้านลบหลายครั้งทั้งข่าวลือการทำผิดกฎระเบียบ ถูกปรับฟ้องร้อง และการเปลี่ยนผู้บริหารบ่อย จึงมีผลให้ฐานะทางการเงินของธนาคารอ่อนแอลง แต่ธนาคารต้องหาทุนมาเพิ่มเพื่อรักษาระดับกองทุนของผู้ถือหุ้น เพราะธนาคารนี้จะได้รับการจัดประเภทเป็น Systemically Important Financial Institution (SIFI) พูดง่ายๆ คือ ‘หากล้มจะลามไปกระทบเศรษฐกิจมาก’ จึงต้องดูแลฐานะการเงินเป็นพิเศษ (เรียกว่าต้องมีทุนมากกว่าแบงก์อื่น)
แล้วรัฐจะอุ้มไหม? ดร.อมรเทพ ตอบประเด็นนี้ว่า ธนาคารนี้ใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้ล้มได้ล่าสุดธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ มาอัดฉีดเงินเพิ่มสภาพคล่องให้เครดิต สวิส แต่จะอุ้มด้วยเงินภาษีประชาชนคงไม่ได้นาน น่าเป็นการอุ้มคนฝากเงินหรือประคองด้านความเชื่อมั่น ไม่ให้ราคาร่วงไปกว่านี้
แต่น่าหาใครมาลงขันซื้อหุ้นไปในราคาถูก เรียกว่าเป็นตัวแทนขายดีกว่ารัฐซื้อเอง สินทรัพย์ยังมีคุณภาพดี โอกาสเติบโตในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งก็ดีเพียงแต่อาจเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร และที่สำคัญให้ราคาที่น่าสนใจแต่ทำตอนนี้ ในภาวะตลาดแบบนี้คงไม่ง่าย ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือตัดส่วน Investment Banking ขายเอาเงินไปรักษาระดับทุน
กลไกรัฐบาลเหมือนสหรัฐไหม?... ‘ไม่’ เครดิต สวิสไม่ใช่ ซิลิคอนวัลเลย์แบงค์ (SVB) และยุโรปไม่ใช่สหรัฐปัญหาเกิดแน่หากล้ม เพราะลำพังสวิตเซอร์แลนด์คงไม่อาจอุ้มได้ และอาจกระทบความเชื่อมั่นของประเทศ
“อย่าลืมว่าสวิตเซอร์แลนด์ไม่อยู่ในยูโรโซน มีเงินตัวเอง แต่ก็เสี่ยงผันผวน จะออกเงินมหาศาลมาค้ำก็ยาก และแบงก์นี้กระจายทั่วโลก จะคุ้มครองอย่างไร”
จะลุกลาม เป็นวิกฤตเศรษฐกิจไหม... ‘ลาม’ เพราะใหญ่กว่า SVB และไม่กระจุกในเทค หรือผลจากดอกเบี้ยขาขึ้น แต่นักลงทุนจะหาโดมิโนตัวต่อไป และมีหลายแบงก์ขนาดใหญ่ในยุโรปที่ไม่แข็งแกร่งหรือมีปัญหาขาดทุนมาก่อนหน้าแล้ว ช่วงนี้เหมือนการล่าแม่มด มองหาว่าใครคือแบงก์ที่จะล้มรายต่อไป
ดร.อมรเทพ ยังย้ำ การแก้ปัญหาคราวนี้ไม่ง่าย และต้องรีบให้จบโดยเร็วเพราะหากยืดเยื้อ แบงก์ในยุโรปจะมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น นึกถึงเยอรมนีที่หากวันหนึ่งต้องเข้ามาอุ้มธนาคารในยุโรปด้วยการอัดฉีดสภาพคล่อง แต่อีกมือก็ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อปรามเงินเฟ้อ สุดท้าย ต้องทั้งเหยียบเบรกและคันเร่งพร้อมกันเศรษฐกิจยุโรปอาจหมุนแกว่งตกทางได้ นี่ยังไม่พูดถึงปัญหาหนี้สาธารณะอย่างอิตาลี หรือ กรีซ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยจะหมุนไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจเองและลามไปทั่วโลก
“ผมมองว่า ในที่สุดสวิตเซอร์แลนด์และยุโรป น่าจะหาทางอัดฉีดเงินตั้งกองทุนขึ้นมาพยุงแบงก์ทั้งหลายไม่ให้ล้ม เพราะนี่คือฉนวนวิกฤติความเชื่อมั่นของภาคการเงินทั่วโลก และท้ายสุด ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB อาจต้องพิจารณาว่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้แค่ไหนแม้เงินเฟ้อยังสูง”
ส่วนธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยเลยหรือไม่?... รอลุ้นวันที่ 23 มีนาคม นี้ โดยหากเฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ย หรือไปลดดอกเบี้ยแรง เพื่อเป็นการกันความเสี่ยงไม่ให้เกิดปัญหารุนแรงแล้วละก็ ตลาดทุนคงชอบ แต่อย่าลืมว่าเงินเฟ้อยังสูง หากเฟดกลับทิศมาลดดอกเบี้ย เงินเฟ้ออาจเด้งต่อ หรือหาก ECB ลดดอกเบี้ยด้วย คราวนี้อาจเกิดภาวะ Stagflation น่ากลัวกันเลย
แต่ก็พออัดฉีดสภาพคล่อง เติมเงินเข้าระบบ ป้องกันปัญหาขาดสภาพคล่องในภาคธุรกิจ ป้องกันไม่ให้เกิดการล้มละลาย รอดูว่าธนาคารกลางจะเลือกแบบใด ขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ หรือลดดอกเบี้ยช่วยเศรษฐกิจ
พร้อมอธิบายต่อว่า จริงๆ แล้วเครดิต สวิสเป็นธนาคารที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในธุรกรรมด้านการบริหารความมั่งคั่งให้ลูกค้า แต่ที่ผ่านมาก็พบว่า มีข่าวในด้านลบหลายครั้งทั้งข่าวลือการทำผิดกฎระเบียบ ถูกปรับฟ้องร้อง และการเปลี่ยนผู้บริหารบ่อย จึงมีผลให้ฐานะทางการเงินของธนาคารอ่อนแอลง แต่ธนาคารต้องหาทุนมาเพิ่มเพื่อรักษาระดับกองทุนของผู้ถือหุ้น เพราะธนาคารนี้จะได้รับการจัดประเภทเป็น Systemically Important Financial Institution (SIFI) พูดง่ายๆ คือ ‘หากล้มจะลามไปกระทบเศรษฐกิจมาก’ จึงต้องดูแลฐานะการเงินเป็นพิเศษ (เรียกว่าต้องมีทุนมากกว่าแบงก์อื่น)
แล้วรัฐจะอุ้มไหม? ดร.อมรเทพ ตอบประเด็นนี้ว่า ธนาคารนี้ใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้ล้มได้ล่าสุดธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ มาอัดฉีดเงินเพิ่มสภาพคล่องให้เครดิต สวิส แต่จะอุ้มด้วยเงินภาษีประชาชนคงไม่ได้นาน น่าเป็นการอุ้มคนฝากเงินหรือประคองด้านความเชื่อมั่น ไม่ให้ราคาร่วงไปกว่านี้
แต่น่าหาใครมาลงขันซื้อหุ้นไปในราคาถูก เรียกว่าเป็นตัวแทนขายดีกว่ารัฐซื้อเอง สินทรัพย์ยังมีคุณภาพดี โอกาสเติบโตในธุรกิจบริหารความมั่งคั่งก็ดีเพียงแต่อาจเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร และที่สำคัญให้ราคาที่น่าสนใจแต่ทำตอนนี้ ในภาวะตลาดแบบนี้คงไม่ง่าย ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือตัดส่วน Investment Banking ขายเอาเงินไปรักษาระดับทุน
กลไกรัฐบาลเหมือนสหรัฐไหม?... ‘ไม่’ เครดิต สวิสไม่ใช่ ซิลิคอนวัลเลย์แบงค์ (SVB) และยุโรปไม่ใช่สหรัฐปัญหาเกิดแน่หากล้ม เพราะลำพังสวิตเซอร์แลนด์คงไม่อาจอุ้มได้ และอาจกระทบความเชื่อมั่นของประเทศ
“อย่าลืมว่าสวิตเซอร์แลนด์ไม่อยู่ในยูโรโซน มีเงินตัวเอง แต่ก็เสี่ยงผันผวน จะออกเงินมหาศาลมาค้ำก็ยาก และแบงก์นี้กระจายทั่วโลก จะคุ้มครองอย่างไร”
จะลุกลาม เป็นวิกฤตเศรษฐกิจไหม... ‘ลาม’ เพราะใหญ่กว่า SVB และไม่กระจุกในเทค หรือผลจากดอกเบี้ยขาขึ้น แต่นักลงทุนจะหาโดมิโนตัวต่อไป และมีหลายแบงก์ขนาดใหญ่ในยุโรปที่ไม่แข็งแกร่งหรือมีปัญหาขาดทุนมาก่อนหน้าแล้ว ช่วงนี้เหมือนการล่าแม่มด มองหาว่าใครคือแบงก์ที่จะล้มรายต่อไป
ดร.อมรเทพ ยังย้ำ การแก้ปัญหาคราวนี้ไม่ง่าย และต้องรีบให้จบโดยเร็วเพราะหากยืดเยื้อ แบงก์ในยุโรปจะมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น นึกถึงเยอรมนีที่หากวันหนึ่งต้องเข้ามาอุ้มธนาคารในยุโรปด้วยการอัดฉีดสภาพคล่อง แต่อีกมือก็ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อปรามเงินเฟ้อ สุดท้าย ต้องทั้งเหยียบเบรกและคันเร่งพร้อมกันเศรษฐกิจยุโรปอาจหมุนแกว่งตกทางได้ นี่ยังไม่พูดถึงปัญหาหนี้สาธารณะอย่างอิตาลี หรือ กรีซ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยจะหมุนไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจเองและลามไปทั่วโลก
“ผมมองว่า ในที่สุดสวิตเซอร์แลนด์และยุโรป น่าจะหาทางอัดฉีดเงินตั้งกองทุนขึ้นมาพยุงแบงก์ทั้งหลายไม่ให้ล้ม เพราะนี่คือฉนวนวิกฤติความเชื่อมั่นของภาคการเงินทั่วโลก และท้ายสุด ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB อาจต้องพิจารณาว่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้แค่ไหนแม้เงินเฟ้อยังสูง”
ส่วนธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยเลยหรือไม่?... รอลุ้นวันที่ 23 มีนาคม นี้ โดยหากเฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ย หรือไปลดดอกเบี้ยแรง เพื่อเป็นการกันความเสี่ยงไม่ให้เกิดปัญหารุนแรงแล้วละก็ ตลาดทุนคงชอบ แต่อย่าลืมว่าเงินเฟ้อยังสูง หากเฟดกลับทิศมาลดดอกเบี้ย เงินเฟ้ออาจเด้งต่อ หรือหาก ECB ลดดอกเบี้ยด้วย คราวนี้อาจเกิดภาวะ Stagflation น่ากลัวกันเลย
แต่ก็พออัดฉีดสภาพคล่อง เติมเงินเข้าระบบ ป้องกันปัญหาขาดสภาพคล่องในภาคธุรกิจ ป้องกันไม่ให้เกิดการล้มละลาย รอดูว่าธนาคารกลางจะเลือกแบบใด ขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ หรือลดดอกเบี้ยช่วยเศรษฐกิจ
ผลกระทบต่อไทย... นักลงทุนน่าเทขายสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง บาทอ่อน (ยูโรอ่อนดอลลาร์แข็ง) หรือเฟดจะยอมถอย ดอลลาร์พลิกไปอ่อน บาทแข็ง และน่าลุ้นว่าปัญหานี้จะลามไปใหญ่โต จนกระทบความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกเพียงไร แต่ภาพแบบนี้น่ากระทบกำลังซื้อในต่างประเทศ การส่งออกไทยเสี่ยงติดลบหรือโตช้า ส่วนการท่องเที่ยวยังไม่น่าได้รับผลกระทบมากนัก เพราะใกล้เข้า low season คงต้องจับตาดูอีกระยะว่าจะลามไปถึงปลายปีไหม แต่ตอนนี้ความเสี่ยงสูงขึ้นมาก แบงก์ชาติไทยอาจเลือกคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50% ก็ได้ (ซึ่งต้องรอผลประชุมเฟดย้ำอีกครั้ง)
แต่ในส่วนภาคธนาคารของไทย ไม่น่าได้รับผลกระทบ เพราะเกณฑ์ของแบงก์ชาติเข้มงวดมาก และคุณภาพสินทรัพย์ของแบงก์ยังดี และไม่มีวิกฤติด้านความเชื่อมั่นเหมือนประเทศอื่น และบทเรียนที่สำคัญในระบบธนาคารคือ การรักษาความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
อย่างไรก็ตาม ประเด็นธนาคาร Credit Suisse ประสบปัญหาไม่สามารถเพิ่มทุนได้ ก็ทำหุ้นไทย ดิ่งทันทีเมื่อเปิดตลาดถึงกว่า 20 จุด เนื่องจากนักลงทุนกลับมาเทขายหุ้น จากความวิตกว่าสถานการณ์มีความเสี่ยงจะลุกลามกลายเป็นวิกฤตภาคการเงิน และลุกลามไปสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง จนนำไปสู่ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกรอบใหม่ ซึ่งในอดีตเกือบทุกครั้ง มักจะมีสาเหตุเริ่มมาจากภาคสถาบันการเงิน
แต่ในส่วนภาคธนาคารของไทย ไม่น่าได้รับผลกระทบ เพราะเกณฑ์ของแบงก์ชาติเข้มงวดมาก และคุณภาพสินทรัพย์ของแบงก์ยังดี และไม่มีวิกฤติด้านความเชื่อมั่นเหมือนประเทศอื่น และบทเรียนที่สำคัญในระบบธนาคารคือ การรักษาความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
อย่างไรก็ตาม ประเด็นธนาคาร Credit Suisse ประสบปัญหาไม่สามารถเพิ่มทุนได้ ก็ทำหุ้นไทย ดิ่งทันทีเมื่อเปิดตลาดถึงกว่า 20 จุด เนื่องจากนักลงทุนกลับมาเทขายหุ้น จากความวิตกว่าสถานการณ์มีความเสี่ยงจะลุกลามกลายเป็นวิกฤตภาคการเงิน และลุกลามไปสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง จนนำไปสู่ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกรอบใหม่ ซึ่งในอดีตเกือบทุกครั้ง มักจะมีสาเหตุเริ่มมาจากภาคสถาบันการเงิน