วิกฤต ‘เครดิต​ สวิส’ ทำหุ้นร่วงแรง ห่วงกลายเป็นวิกฤตการเงินโลก ซ้ำอดีต

16 มีนาคม 2566 - 07:50

CIMBT-Credit-_Suisse-SPACEBAR-Thumbnail
  • ตลาดทุน จับจ้องมาที่ธนาคารเครดิต​ สวิส หลังราคาหุ้นร่วงหนัก ​คนพร้อมแห่ถอนเงิน

  • นักลงทุนในตราสารหนี้ ห่วงธนาคารจะผิดนัดชำระหนี้​ ค่าประกันความเสี่ยง​ หรือ ​Credit​ Default Swap พุ่งขึ้นสูง​เกิดอะไรขึ้น?

ดร.อมรเทพ​ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหาร​สำนัก​วิจัย​และที่ปรึกษา​การลงทุน​ ธนาคาร​ซีไอเอ็มบี ​ไทย เผยวิกฤติความเชื่อมั่นของเครดิต สวิส (Credit​Suisse) ว่า ตัวแปรสำคัญคือข่าวผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่าง​ Saudi​National​ Bank ซึ่งออกมาบอกว่า จะไม่ถือหุ้นเครดิต​สวิสมากไปกว่านี้ หรือไม่เกิน ​10% เพราะไม่อยากทำตามกฎระเบียบ​ของยุโรป​ แต่นักลงทุนน่าจะคิดว่ามีอะไรผิดคาด​คนขาดความไว้ใจ จึงเกิดภาวะแตกตื่นอย่างที่เห็น  

พร้อมอธิบายต่อว่า จริงๆ​ แล้วเครดิต​ สวิสเป็นธนาคารที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในธุรกรรมด้านการบริหาร​ความมั่งคั่งให้ลูกค้า​ แต่ที่ผ่านมาก็พบว่า มีข่าวในด้านลบหลายครั้ง​ทั้งข่าวลือ​การทำผิดกฎระเบียบ​ ถูกปรับฟ้องร้อง​ และการเปลี่ยนผู้บริหารบ่อย​ จึงมีผลให้ฐานะทางการเงิน​ของธนาคารอ่อนแอลง แต่ธนาคารต้องหาทุนมาเพิ่มเพื่อรักษาระดับกองทุนของผู้ถือหุ้น​ เพราะธนาคารนี้จะได้รับการจัดประเภทเป็น ​Systemically Important Financial Institution (SIFI) พูดง่ายๆ​ คือ ‘หากล้มจะลามไปกระทบเศรษฐกิจ​มาก’​ จึงต้องดูแลฐานะการเงินเป็นพิเศษ ​(เรียกว่าต้องมีทุนมากกว่าแบงก์อื่น)​  

แล้วรัฐจะอุ้มไหม? ดร.อมรเทพ ตอบประเด็นนี้ว่า ธนาคารนี้ใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้ล้มได้​ล่าสุดธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์​ มาอัดฉีดเงินเพิ่มสภาพคล่องให้เครดิต​ สวิส​ แต่จะอุ้มด้วยเงินภาษีประชาชนคงไม่ได้นาน​ น่าเป็นการอุ้มคนฝากเงิน​หรือประคองด้านความเชื่อมั่น​ ไม่ให้ราคาร่วงไปกว่านี้  

แต่น่าหาใครมาลงขันซื้อหุ้นไปในราคาถูก ​เรียกว่าเป็นตัวแทนขายดีกว่ารัฐซื้อเอง​ สินทรัพย์​ยังมีคุณภาพดี​ โอกาสเติบโตในธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง​ก็ดี​เพียงแต่อาจเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น​ ผู้บริหาร​ และที่สำคัญ​ให้ราคาที่น่าสนใจ​แต่ทำตอนนี้​ ในภาวะตลาดแบบนี้คงไม่ง่าย​ ที่เป็นไปได้มากที่สุดคือตัดส่วน​ Investment​ Banking​ ขาย​เอาเงินไปรักษาระดับทุน  

กลไกรัฐบาลเหมือนสหรัฐไหม?... ‘ไม่’ ​เครดิต​ สวิสไม่ใช่​ ซิลิคอนวัลเลย์แบงค์ (SVB) และยุโรปไม่ใช่สหรัฐ​ปัญหาเกิดแน่หากล้ม​ เพราะลำพังสวิตเซอร์แลนด์​คงไม่อาจอุ้มได้ ​และอาจกระทบความเชื่อมั่น​ของประเทศ​  

“อย่าลืมว่าสวิตเซอร์แลนด์​ไม่อยู่ในยูโรโซน มีเงินตัวเอง​ แต่ก็เสี่ยงผันผวน​ จะออกเงินมหาศาลมาค้ำก็ยาก​ และแบงก์นี้กระจายทั่วโลก​ จะคุ้มครองอย่างไร” 

จะลุกลาม เป็นวิกฤตเศรษฐกิจไหม... ‘ลาม’ ​เพราะใหญ่กว่า​ SVB ​และไม่กระจุกในเทค​ หรือผลจากดอกเบี้ย​ขาขึ้น ​แต่นักลงทุนจะหาโดมิโนตัวต่อไป และมีหลายแบงก์ขนาดใหญ่ในยุโรปที่ไม่แข็งแกร่งหรือมีปัญหาขาดทุนมาก่อนหน้าแล้ว ช่วงนี้เหมือนการล่าแม่มด​ มองหาว่าใครคือแบงก์ที่จะล้มรายต่อไป  

ดร.อมรเทพ ยังย้ำ การแก้ปัญหาคราวนี้ไม่ง่าย​ และต้องรีบให้จบโดยเร็ว​เพราะหากยืดเยื้อ​ แบงก์ในยุโรปจะมีปัญหา​เรื่อง​ความเชื่อมั่น​ นึกถึงเยอรมนี​ที่หากวันหนึ่งต้องเข้ามาอุ้มธนาคารในยุโรปด้วยการอัดฉีดสภาพคล่อง ​แต่อีกมือก็ขึ้นอัตราดอกเบี้ย​เพื่อปรามเงินเฟ้อ ​สุดท้าย​ ต้องทั้งเหยียบเบรกและคันเร่งพร้อมกัน​เศรษฐกิจ​ยุโรปอาจหมุนแกว่งตกทางได้​ นี่ยังไม่พูดถึงปัญหาหนี้สาธารณะ​อย่างอิตาลี ​หรือ กรีซ​ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยจะหมุนไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจ​เองและลามไปทั่วโลก​  

“ผมมองว่า ในที่สุดสวิตเซอร์แลนด์​และยุโรป น่าจะหาทางอัดฉีดเงิน​ตั้งกองทุนขึ้นมาพยุงแบงก์ทั้งหลายไม่ให้ล้ม​ เพราะนี่คือฉนวนวิกฤติความเชื่อมั่นของภาคการเงินทั่วโลก​ และท้ายสุด​ ธนาคารกลางยุโรป​ หรือ​ ECB ​อาจต้องพิจารณาว่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้แค่ไหน​แม้เงินเฟ้อยังสูง” 

ส่วนธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยเลยหรือไม่?... รอลุ้นวันที่ 23 มีนาคม นี้ โดยหากเฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ย หรือไปลดดอกเบี้ยแรง เพื่อเป็นการกันความเสี่ยงไม่ให้เกิดปัญหารุนแรงแล้วละก็  ตลาดทุนคงชอบ แต่อย่าลืมว่าเงินเฟ้อยังสูง หากเฟดกลับทิศมาลดดอกเบี้ย เงินเฟ้ออาจเด้งต่อ หรือหาก ECB ลดดอกเบี้ยด้วย คราวนี้อาจเกิดภาวะ Stagflation น่ากลัวกันเลย  

แต่ก็พออัดฉีดสภาพคล่อง เติมเงินเข้าระบบ ป้องกันปัญหาขาดสภาพคล่องในภาคธุรกิจ ป้องกันไม่ให้เกิดการล้มละลาย รอดูว่าธนาคารกลางจะเลือกแบบใด ขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ หรือลดดอกเบี้ยช่วยเศรษฐกิจ 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5zDGC3jKlEtMJ9f4xFmgzP/9c7eaea49b406b412403c243bc6f4b2e/CIMBT-Credit-_Suisse-SPACEBAR-Photo02
ผลกระทบต่อไทย... นักลงทุนน่าเทขายสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง บาทอ่อน (ยูโรอ่อนดอลลาร์แข็ง) หรือเฟดจะยอมถอย ดอลลาร์พลิกไปอ่อน บาทแข็ง และน่าลุ้นว่าปัญหานี้จะลามไปใหญ่โต จนกระทบความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกเพียงไร แต่ภาพแบบนี้น่ากระทบกำลังซื้อในต่างประเทศ การส่งออกไทยเสี่ยงติดลบหรือโตช้า ส่วนการท่องเที่ยวยังไม่น่าได้รับผลกระทบมากนัก เพราะใกล้เข้า low season คงต้องจับตาดูอีกระยะว่าจะลามไปถึงปลายปีไหม แต่ตอนนี้ความเสี่ยงสูงขึ้นมาก แบงก์ชาติไทยอาจเลือกคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50% ก็ได้ (ซึ่งต้องรอผลประชุมเฟดย้ำอีกครั้ง)

แต่ในส่วนภาคธนาคารของไทย ไม่น่าได้รับผลกระทบ เพราะเกณฑ์ของแบงก์ชาติเข้มงวดมาก และคุณภาพสินทรัพย์ของแบงก์ยังดี และไม่มีวิกฤติด้านความเชื่อมั่นเหมือนประเทศอื่น และบทเรียนที่สำคัญในระบบธนาคารคือ การรักษาความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

อย่างไรก็ตาม ประเด็นธนาคาร Credit Suisse ประสบปัญหาไม่สามารถเพิ่มทุนได้ ก็ทำหุ้นไทย ดิ่งทันทีเมื่อเปิดตลาดถึงกว่า 20 จุด เนื่องจากนักลงทุนกลับมาเทขายหุ้น จากความวิตกว่าสถานการณ์มีความเสี่ยงจะลุกลามกลายเป็นวิกฤตภาคการเงิน และลุกลามไปสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง จนนำไปสู่ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกรอบใหม่ ซึ่งในอดีตเกือบทุกครั้ง มักจะมีสาเหตุเริ่มมาจากภาคสถาบันการเงิน
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/6zf52mtEcoSnikfvdanm0N/53f15ce389d41f4db5a1f59966702ef7/CIMBT-Credit-_Suisse-SPACEBAR-Photo01

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์