ตลาดเสริมความงามไทย กำลังรีเทิร์น รับอานิสงส์เปิดประเทศ

  • Krungthai COMPASS มองท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ไทย กลับมาบูมอีกครั้ง ดันตลาดเสริมความงามไทย โตโดดเด่น
  • ชี้ ภาพรวมทั่วโลก มูลค่าสูงแตะ 2.16 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โตเฉลี่ยปีละ 13.9%
  • ขณะที่ไทย มีมูลค่าแตะ 7.51 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 2.48 แสนล้านบาท ในปี 2570
Share with trust
สุจิตรา อันโน นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS วิเคราะห์ตลาดเสริมความงามทั่วโลกว่า ยังเป็นเทรนด์ที่มาแรง โดยเฉพาะ  ‘เวชศาสตร์ความงาม’ (Aesthetic Medicine) ที่กล่าวได้ว่า เป็น 1 ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง  
 
โดยอ้างถึงผลสำรวจล่าสุดของ RealSelf Insights Center ที่ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคเกี่ยวกับผลกระทบของโควิด-19 กับความต้องการเสริมความงาม พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจ 98% ยังคงสนใจและต้องการเสริมความงามต่อไป ขณะที่ผลสำรวจจากบริษัทวิจัยตลาด GlobalWebIndex ที่ได้มีการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความสนใจเกี่ยวกับการศัลยกรรมในกลุ่มชายและหญิงที่เป็นผู้บริหารระดับสูง (C-Level) ที่มีอายุ 25-64 ปี พบว่า คนกลุ่มนี้มีความสนใจที่จะศัลยกรรมเพื่อภาพลักษณ์ที่ดี ซึ่งราคาไม่ใช่ปัจจัยในการตัดสินใจ เพราะพร้อมจะจ่ายเงินเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง  
 
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม? ตลาดเสริมความงามจึงยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง และนำไปสู่คำถามที่น่าสนใจว่า ‘ตลาดเสริมความงามจะมีโอกาสเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน? และการเสริมความงามกลุ่มไหน? ที่จะมาแรงในอนาคต’ 
 

ทำความเข้าใจ ‘การเสริมความงาม’ 

การเสริมความงามมีศัพท์ทางวิชาการที่เรียกกันว่า ‘เวชศาสตร์ความงาม’ (Aesthetic Medicine) ที่เน้นการรักษาโดยตรง ซึ่งครอบคลุมทั้งการผ่าตัดเพื่อศัลยกรรมตกแต่งเสริมสวย การทำหัตถการทางการแพทย์ที่หลักๆ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่  
- สารลดเลือนริ้วรอย หรือ Botulinum toxin A (Botox)  
- สารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์  
- การร้อยไหม  
- และกลุ่มที่ใช้พลังงานทำให้ผิวหนังตึง  
ทั้งนี้ สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย ได้แบ่งเวชปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเสริมสวย เสริมความงาม ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ  
1. Noninvasive Procedure คือ การใช้ยากินหรือยาฉีด การนวด การกดจุด การฝังเข็ม เป็นต้น ซึ่งแพทย์ทั่วไป หรือบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ที่ได้รับอนุญาต สามารถทําเวชปฏิบัติเหล่านี้ได้ในคลินิกทั่วไป ซึ่งการเสริมความงามในกลุ่มนี้ อาทิ การฉีดโบท็อกซ์ การฉีดฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็ม (Soft Tissue Fillers) การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peel) 
 
2. Minimally Invasive Procedure หรือการรักษาแบบ ‘กึ่งศัลยกรรม’  คือ การทำหัตถการที่ต้องผ่าตัดเปิดแผลเพียงเล็กน้อย (Minor Surgery) ซึ่งอาจจะใช้การส่องกล้องเป็นเครื่องมือช่วย การใส่วัสดุเสริม การใช้ไหมร้อย เลเซอร์ เป็นต้น  
 
3. Invasive Procedure ซึ่งก็คือ การผ่าตัดใหญ่ (Major Operation) หรือการศัลยกรรมตกแต่งเสริมสวยประเภทต่างๆ อาทิ การผ่าตัดเสริมหน้าอก การผ่าตัดเสริมจมูก การศัลยกรรมตา 2 ชั้น การดูดไขมัน 
 
แม้ว่าธุรกิจเสริมความงาม จะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่หลังจากสถานการณ์คลี่คลายลง คาดว่า ตลาดเสริมความงามจะฟื้นตัวได้เร็ว และมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นในระยะข้างหน้า 
 

สำรวจตลาดเสริมความงามทั่วโลก และของไทย 

สำหรับภาพรวมมูลค่าตลาดเสริมความงามทั่วโลกมีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ ความต้องการเสริมภาพลักษณ์ให้ดูดี และยังมีแรงหนุนสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ความวิตกกังวลกับริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของผิวหน้า อันบ่งบอกถึงสัญญาณแห่งวัยเมื่อมีอายุมากขึ้น ซึ่งสัญญาณแห่งวัย เช่น ริ้วรอย ผิวขาดความยืดหยุ่น หย่อนคล้อย และจุดด่างดำ จะเริ่มปรากฏในช่วงอายุ 25 ถึง 30 ปี และจะเด่นชัดมากขึ้นในช่วงอายุ 30 เป็นต้นไป ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของประชากรในช่วงอายุ 25-65 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ยังนิยมและต้องการการเสริมความงามอยู่ จึงส่งผลบวกให้ตลาดเสริมความงามมีโอกาสเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ  
 
ทั้งนี้ มีข้อมูลของสหประชาชาติ ระบุว่า ในปี 2573 จำนวนประชากรทั่วโลก ในช่วงอายุ 25-65 ปี จะมีจำนวนประมาณ 4,300 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของจำนวนประชากรทั่วโลกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีจำนวนประชากรกลุ่มนี้ประมาณ 3,900 ล้านคน 9.8% 
 
ขณะที่เทคโนโลยีด้านความงาม ได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนมีความล้ำหน้าทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีความปลอดภัยมากกว่าในอดีตค่อนข้างมาก โดยส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีความปลอดภัย และไม่ส่งผลเสียต่อผู้ที่เข้ารับการรักษา นอกจากนี้ ยังเน้นเรื่องผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเห็นความแตกต่างหลังจากที่เข้ารับการรักษา ส่งผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจใช้บริการเสริมความงามได้ง่ายขึ้น 
 
ยังมีรายงานของ Grand View Research ที่ได้ประเมินมูลค่าตลาดเสริมความงามทั่วโลก คาดว่า ในปี 2570 มูลค่าตลาดจะขึ้นไปแตะระดับ 2.16 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7.14 ล้านล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 13.9% (CAGR ปี 2563-2570) เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ประมาณ 2.5 เท่า โดยมูลค่าตลาดเสริมความงามในกลุ่มที่ไม่ใช่การศัลยกรรม (Noninvasive Procedures)  มีสัดส่วนมากกว่าการเสริมความงามโดยการศัลยกรรม (Invasive Procedures) ที่ระดับ 56% ของมูลค่าตลาดเสริมความงามทั่วโลก  
 
อย่างไรก็ดี ทั้งการเสริมความงามในกลุ่มที่ไม่ใช่การศัลยกรรม และการเสริมความงามโดยการศัลยกรรม ต่างมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นทั้งคู่ โดยการฉีดสารลดเลือนริ้วรอย หรือการฉีดโบท็อกซ์ (Botox Injections) ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มเสริมความงามที่ไม่ใช่การศัลยกรรม รองลงมา คือ การฉีดฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็ม (Soft Tissue Fillers) การกรอผิว (Microdermabrasion) และการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peel) ขณะที่การเสริมหน้าอก ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่มการเสริมความงามโดยการศัลยกรรม  
 
ซึ่งสอดคล้องกับรายงานฉบับล่าสุดของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยนานาชาติ (International Society of Aesthetic Plastic Surgeons) หรือ ISAPS ที่ระบุว่า การผ่าตัดเสริมความงามที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ การเสริมหน้าอก โดยมีผู้เข้ารับการเสริมหน้าอก คิดเป็นสัดส่วน 16% ของการผ่าตัดเสริมความงามทั้งหมด และการเสริมความงามแบบไม่ผ่าตัดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ การฉีดโบท็อกซ์ คิดเป็นสัดส่วน 43% ของการเสริมความงามแบบไม่ผ่าตัดทั้งหมด 
 
ทั้งนี้ ‘ตลาดอเมริกาเหนือ’ มีสัดส่วนมูลค่าตลาดมากที่สุดประมาณ 36% รองลงมาเป็นตลาดยุโรปที่มีสัดส่วนมูลค่าตลาด 26% ของมูลค่าตลาดรวม (ปี 2563) ซึ่งสอดคล้องกับรายงานฉบับล่าสุดของ ISAPS ที่ระบุว่า ประเทศที่มีการเสริมความงามมากที่สุด 10 อันดับแรกของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา บราซิล เยอรมนี ญี่ปุ่น ตุรกี เม็กซิโก อาร์เจนตินา อิตาลี รัสเซีย และอินเดีย 
 
‘ตลาดเอเชียแปซิฟิก’ เติบโตโดดเด่นมากที่สุด โดยคาดว่าภายในปี 2570 จะมีมูลค่าตลาด 5.59 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าจากปี 2563 ที่มีมูลค่า 2.00 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (มีมูลค่าตลาดใหญ่เป็นอันดับสาม คิดเป็นสัดส่วน 23%) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 15.8% (CAGR ปี 2563-2570) และจะมีสัดส่วนมูลค่าตลาดขยับขึ้นมาใกล้เคียงกับตลาดยุโรปที่ 26% ของมูลค่าตลาดรวม 
 
จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ Krungthai COMPASS มองว่า ตลาดเสริมความงามของไทยมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง ทั้งจากกลุ่มลูกค้าชาวไทย และกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่ต้องการเดินทางเพื่อเสริมความงาม โดยรายงานล่าสุดของ ISAPS ระบุว่า ‘ไทย’ เป็นประเทศที่มีการเสริมความงามมากที่สุดเป็นอันดับที่ 14 ของโลก  
 
ขณะที่มีรายงานอีกฉบับระบุว่า ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ปี 2562) ‘ไทย’ เป็นประเทศที่มีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติที่ต้องการเสริมความงามมากที่สุดในโลก ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่เชื่อได้ว่าหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง และการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ไทยจะยังสามารถครองแชมป์ประเทศที่มีผู้ป่วยต่างชาติที่ต้องการเสริมความงามเดินทางเข้ามาใช้บริการมากที่สุดในโลก เนื่องจากไทยมีชื่อเสียงและคุณภาพการรักษาเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ  
 
โดยจุดเด่นสำคัญที่นอกเหนือจากชื่อเสียงของแพทย์ คุณภาพและมาตรฐานการรักษา และการบริการที่ดีจากแพทย์และพยาบาล คือ ค่ารักษาพยาบาลในไทยถูกกว่าประเทศในภูมิภาคและประเทศชั้นนำอย่างสหรัฐอเมริกา  
 
ซึ่งจากข้อมูลของ Medical Tourism Association พบว่า ค่าบริการเสริมความงามของไทยถูกกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 50-120% (โดยเฉลี่ยประมาณ 80%) และยังถูกกว่าประเทศในภูมิภาคอย่างสิงคโปร์และเกาหลีใต้โดยเฉลี่ยประมาณ 24% และ 7% ตามลำดับ นอกจากนี้ การมีเทคโนโลยีและเครื่องมือทางการแพทย์ด้านความงามที่ทันสมัยทัดเทียมนานาชาติ จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการเสริมความงามได้ไม่ยากนัก 
 
โดยเรามองว่า การเติบโตของตลาดเสริมความงามจะเข้ามามีบทบาทในการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างธุรกิจบริการทางการแพทย์ของไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลหรือคลินิกเฉพาะทางด้านการศัลยกรรมตกแต่งและการเสริมความงาม ขณะที่ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อาทิ ธุรกิจนำเข้าและ/หรือจัดจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ด้านความงาม และผลิตภัณฑ์/สาร/ยาเสริมความงาม ธุรกิจที่ปรึกษาการตลาดคลินิกเสริมความงาม และธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรม ก็มีโอกาสได้รับอานิสงส์ด้วยเช่นกัน