กูรู และนักวิเคราะห์เศรษฐกิจหลายท่าน พูดตรงกันเสมอ ว่า ‘ในทุกวิกฤต ย่อมมีโอกาส’ แม้แต่ช่วงขาขึ้นของดอกเบี้ย ซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นปัจจัยลดเสน่ห์การลงทุนในตลาดหุ้นไป แต่เรียกได้ว่า เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อธนาคารกลางของทุกประเทศทั่วโลกต่างใช้นโยบายดอกเบี้ย เป็น ‘ยาแรง’ สกัดเงินเฟ้อผ่านการปรับ ‘ขึ้นอัตราดอกเบี้ย’ หวังลดอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่อง และไทยก็เลือกเครื่องมือนี้เช่นกัน
ทว่าจริงๆ แล้ว หากจะเสาะหาหุ้นที่ยังมีเสน่ห์ หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็ย่อมมีด้วยเช่นกัน ดังนั้น การเลือกจับจังหวะลงทุนของนักลงทุนในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น แล้วต้องลงทุนหุ้นอะไร มีหลายกลุ่มน่าสนใจ ดังต่อไปนี้
ทว่าจริงๆ แล้ว หากจะเสาะหาหุ้นที่ยังมีเสน่ห์ หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็ย่อมมีด้วยเช่นกัน ดังนั้น การเลือกจับจังหวะลงทุนของนักลงทุนในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น แล้วต้องลงทุนหุ้นอะไร มีหลายกลุ่มน่าสนใจ ดังต่อไปนี้
1.หุ้นธนาคารและประกันชีวิต
ธนาคารและประกันชีวิต คือ กลุ่มธุรกิจที่จะได้ประโยชน์โดยตรงจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของธุรกิจธนาคารพาณิชย์มาจากการปล่อยสินเชื่อ และทำกำไรจาก Net Interest Margin: NIM ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้กับดอกเบี้ยเงินฝาก โดยทั่วไปแล้วดอกเบี้ยเงินกู้จะขึ้นเร็วกว่าเงินฝากเสมอ จึงมีโอกาสทำกำไรที่มากขึ้นในช่วงนี้เช่นเดียวกับ ‘ธุรกิจประกันชีวิต’ ที่มีโอกาสทำกำไรได้สูงขึ้น จากการนำเบี้ยประกันไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ ดังนั้น ถ้าดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้น แปลว่าผลตอบแทนจากการลงทุนก็จะสูงขึ้นด้วยนั่นเอง
ถือว่าเป็น 2 กลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสได้รับผลบวกจากการขึ้นดอกเบี้ยโดยตรง แต่ไม่ได้แปลว่าหุ้นทุกตัวในกลุ่มจะได้รับประโยชน์เท่ากันหมด นักลงทุนต้องเข้าไปศึกษาพอร์ตสินเชื่อ และพอร์ตการลงทุน ในแต่ละบริษัทก่อนว่าเป็นอย่างไร
2. หุ้นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
หุ้นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิต นี้ ประกอบด้วย อาหาร ยารักษาโรค บริการทางการแพทย์ สินค้าอุปโภคที่จำเป็นอย่าง สบู่ แชมพู ยาสีฟัน และสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ เช่น ไฟฟ้า แก๊ส น้ำมัน น้ำประปา เป็นต้น แม้จะไม่ได้รับประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ยตรง ๆ แต่ถือว่าธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบมากนัก จึงเหมาะกับการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงในช่วงนี้ความน่าสนใจของหุ้นกลุ่มนี้ คือ อำนาจต่อรองในการกำหนดราคาสินค้า และสามารถผลักภาระต้นทุนบางส่วนไปยังผู้บริโภคได้ เพราะเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ จึงลดแรงกระแทกในยามที่ต้นทุนสูงขึ้นจากทั้งเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย
3. หุ้นหนี้สินต่ำ เงินสดในมือสูง
เมื่อดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น ภาระหนี้ของบริษัทก็จะสูงขึ้นตาม บริษัทที่มีหนี้เยอะหรือขาดกระแสเงินสด จะเสียเปรียบอย่างมากต่อการขยายธุรกิจ ยิ่งถ้าบริษัทมีรายได้เท่าเดิม ก็จะส่งผลต่อแนวโน้มกำไรในอนาคตที่ลดลงด้วย เพราะมีรายจ่ายจากต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน ควรเน้นหุ้นคุณภาพที่มีความปลอดภัยสูง สังเกตง่าย ๆ จากธุรกิจที่มีภาระหนี้สินต่ำ โดย D/E Ratio ไม่ควรเกิน 2 เท่า รวมถึงมองหาบริษัทที่มีกระแสเงินสดสุทธิเป็นบวก (Net Cash Flow) ซึ่งสะท้อนถึงการมีเงินสดจากการดำเนินงาน มีเงินสดจากการลงทุน การกู้ยืมและภาระดอกเบี้ยต่ำ ทั้งนี้ หุ้นที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งอยู่แล้ว จะมีความสามารถที่จะสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะถูกกดดันจากนโยบายทางการเงินก็ตาม
ทั้งนี้ทั้งนั้น โลกของการลงทุน ไม่มีอะไรแน่นอน และยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น หัวใจสำคัญคือนักลงทุนควรหมั่นติดตามข้อมูล และสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้ปรับมุมมองการลงทุนได้เหมาะสม และเลือกตัดสินใจลงทุนได้อย่างถูกต้อง