เมื่อจีนเปิดประเทศ ปรากฏพบ ชาวจีนจำนวนมากมาซื้อคอนโดมิเนียมในไทยทั่วประเทศ โดยรายงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่า มียอดซื้อขายคอนโดฯ ทะลัก 2.9 แสนล้าน ใน 31 จังหวัด
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ภาพรวมสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั่วประเทศสิ้นปี 2565 มีจำนวน 107,127 หน่วย มูลค่า 288,485 ล้านบาท แยกเป็น
ทั้งนี้ ใน 77 จังหวัด พบว่ามี 31 จังหวัด ที่ต่างชาติมีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด มากสุดกรุงเทพฯ 5,260 หน่วย มูลค่า 39,936 ล้านบาท รองลงมาชลบุรี 3,567 หน่วย มูลค่า 10,264 ล้านบาท ภูเก็ต 637 หน่วย มูลค่า 3,001 ล้านบาท เชียงใหม่ 595 หน่วย มูลค่า 1,874 ล้านบาท สมุทรปราการ 793 หน่วย มูลค่า 1,856 ล้านบาท ประจวบคีรีขันธ์ 268 หน่วย มูลค่า 1,341 ล้านบาท นนทบุรี 77 หน่วย มูลค่า 232 ล้านบาท ปทุมธานี 156 หน่วย มูลค่า 203 ล้านบาท ระยอง 84 หน่วย มูลค่า 172 ล้านบาท เพชรบุรี 28 หน่วย มูลค่า 141 ล้านบาท
นครราชสีมา 12 หน่วย มูลค่า 51 ล้านบาท สุราษฎร์ธานี 18 หน่วย มูลค่า 45 ล้านบาท กระบี่ 9 หน่วย มูลค่า 44 ล้านบาท อุดรธานี 9 หน่วย มูลค่า 18 ล้านบาท สงขลา 10 หน่วย มูลค่า 15 ล้านบาท ตราด 2 หน่วย มูลค่า 13 ล้านบาท เชียงราย 8 หน่วย มูลค่า 10 ล้านบาท ลำพูน 4 หน่วย มูลค่า 9 ล้านบาท นครศรีธรรมราช 5 หน่วย มูลค่า 8 ล้านบาท นครปฐม 4 หน่วย มูลค่า 7 ล้านบาท อุบลราชธานี 3 หน่วย มูลค่า 5 ล้านบาท ตาก 3 หน่วย มูลค่า 4 ล้านบาท พระนครศรีอยุธยา 2 หน่วย มูลค่า 3 ล้านบาท ขอนแก่น 2 หน่วย มูลค่า 3 ล้านบาท จันทบุรี 1 หน่วย มูลค่า 2 ล้านบาท สมุทรสาคร 1 หน่วย มูลค่า 2 ล้านบาท บุรีรัมย์ 1 หน่วย มูลค่า 2 ล้านบาท หนองคาย 2 หน่วย มูลค่า 1 ล้านบาท ขณะที่ฉะเชิงเทรา สระบุรีและลำปาง มีการซื้อขายในปี 2561-2562 แต่ปี 2565 ไม่มีการซื้อขาย
สำหรับ 10 จังหวัด มีต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์มากสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
ทั้งนี้กล่าวได้ว่า ใน 10 ประเทศที่โอนกรรมสิทธิ์สูงสุด ยังเป็นจีน 5,707 หน่วย มูลค่า 29,038 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 49% ซื้อขนาดพื้นที่ 223.70 ตารางเมตร ราคาโดยเฉลี่ย 5.1 ล้านบาท รองลงมารัสเซีย อเมริกา เมียนมา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี ไต้หวัน กัมพูชา อินเดีย
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ภาพรวมสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั่วประเทศสิ้นปี 2565 มีจำนวน 107,127 หน่วย มูลค่า 288,485 ล้านบาท แยกเป็น
- ต่างชาติ จำนวน 11,561 หน่วย มูลค่า 59,261 ล้านบาท
- คนไทย จำนวน 95,566 หน่วย มูลค่า 229,225 ล้านบาท
ทั้งนี้ ใน 77 จังหวัด พบว่ามี 31 จังหวัด ที่ต่างชาติมีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด มากสุดกรุงเทพฯ 5,260 หน่วย มูลค่า 39,936 ล้านบาท รองลงมาชลบุรี 3,567 หน่วย มูลค่า 10,264 ล้านบาท ภูเก็ต 637 หน่วย มูลค่า 3,001 ล้านบาท เชียงใหม่ 595 หน่วย มูลค่า 1,874 ล้านบาท สมุทรปราการ 793 หน่วย มูลค่า 1,856 ล้านบาท ประจวบคีรีขันธ์ 268 หน่วย มูลค่า 1,341 ล้านบาท นนทบุรี 77 หน่วย มูลค่า 232 ล้านบาท ปทุมธานี 156 หน่วย มูลค่า 203 ล้านบาท ระยอง 84 หน่วย มูลค่า 172 ล้านบาท เพชรบุรี 28 หน่วย มูลค่า 141 ล้านบาท
นครราชสีมา 12 หน่วย มูลค่า 51 ล้านบาท สุราษฎร์ธานี 18 หน่วย มูลค่า 45 ล้านบาท กระบี่ 9 หน่วย มูลค่า 44 ล้านบาท อุดรธานี 9 หน่วย มูลค่า 18 ล้านบาท สงขลา 10 หน่วย มูลค่า 15 ล้านบาท ตราด 2 หน่วย มูลค่า 13 ล้านบาท เชียงราย 8 หน่วย มูลค่า 10 ล้านบาท ลำพูน 4 หน่วย มูลค่า 9 ล้านบาท นครศรีธรรมราช 5 หน่วย มูลค่า 8 ล้านบาท นครปฐม 4 หน่วย มูลค่า 7 ล้านบาท อุบลราชธานี 3 หน่วย มูลค่า 5 ล้านบาท ตาก 3 หน่วย มูลค่า 4 ล้านบาท พระนครศรีอยุธยา 2 หน่วย มูลค่า 3 ล้านบาท ขอนแก่น 2 หน่วย มูลค่า 3 ล้านบาท จันทบุรี 1 หน่วย มูลค่า 2 ล้านบาท สมุทรสาคร 1 หน่วย มูลค่า 2 ล้านบาท บุรีรัมย์ 1 หน่วย มูลค่า 2 ล้านบาท หนองคาย 2 หน่วย มูลค่า 1 ล้านบาท ขณะที่ฉะเชิงเทรา สระบุรีและลำปาง มีการซื้อขายในปี 2561-2562 แต่ปี 2565 ไม่มีการซื้อขาย
สำหรับ 10 จังหวัด มีต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์มากสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย
- กรุงเทพฯ เป็นจีน 3,323 หน่วย มูลค่า 22,324 ล้านบาท เมียนมา 311 หน่วย มูลค่า 2,423 ล้านบาท กัมพูชา 106 หน่วย มูลค่า 1,593 ล้านบาท ไต้หวัน 152 หน่วย มูลค่า 1,474 ล้านบาท ฝรั่งเศส 91 หน่วย มูลค่า 1,087 ล้านบาท
- ชลบุรี เป็นจีน 998 หน่วย มูลค่า 3,495 ล้านบาท รัสเซีย 510 หน่วย มูลค่า 1,412 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 277 หน่วย มูลค่า 756 ล้านบาท สหราชอาณาจักร 152 หน่วย มูลค่า 598 ล้านบาท เยอรมนี 185 หน่วย มูลค่า 459 ล้านบาท
- ภูเก็ต เป็นรัสเซีย 240 หน่วย มูลค่า 875 ล้านบาท ฝรั่งเศส 51 หน่วย มูลค่า 255 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 37 หน่วย มูลค่า 218 ล้านบาท จีน 54 หน่วย มูลค่า 206 ล้านบาท สหราชอาณาจักร 26 หน่วย มูลค่า 152 ล้านบาท
- เชียงใหม่ เป็นจีน 352 หน่วย มูลค่า 1,188 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 50 หน่วย มูลค่า 168 ล้านบาท สหราชอาณาจักร 41 หน่วย มูลค่า 133 ล้านบาท ฝรั่งเศส 30 หน่วย มูลค่า 59 ล้านบาท แคนาดา 18 หน่วย มูลค่า 48 ล้านบาท
- สมุทรปราการ เป็นจีน 566 หน่วย มูลค่า 1,424 ล้านบาท ไต้หวัน 36 หน่วย มูลค่า 94 ล้านบาท มาเลเซีย 28 หน่วย มูลค่า 59 ล้านบาท เมียนมา 13 หน่วย มูลค่า 37 ล้านบาท ฮ่องกง 10 หน่วย มูลค่า 29 ล้านบาท
- ประจวบคีรีขันธ์ เป็นรัสเซีย 37 หน่วย มูลค่า 285 ล้านบาท เนเธอร์แลนด์ 12 หน่วย มูลค่า 126 ล้านบาท จีน 29 หน่วย มูลค่า 109 ล้านบาท สหราชอาณาจักร 15 หน่วย มูลค่า 90 ล้านบาท เยอรมนี 29 หน่วย มูลค่า 84 ล้านบาท
- นนทบุรี เป็นจีน 28 หน่วย มูลค่า 82 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 8 หน่วย มูลค่า 19 ล้านบาท เยอรมนี 8 หน่วย มูลค่า 18 ล้านบาท อาร์เจนตินา 1 หน่วย มูลค่า 18 ล้านบาท ฝรั่งเศส 3 หน่วย มูลค่า 17 ล้านบาท
- ปทุมธานี เป็นจีน 123 หน่วย มูลค่า 155 ล้านบาท เมียนมา 6 หน่วย มูลค่า 12 ล้านบาท เนเธอร์แลนด์ 3 หน่วย มูลค่า 5 ล้านบาท อิสราเอล 4 หน่วย มูลค่า 5 ล้านบาท สิงคโปร์ 3 หน่วย มูลค่า 4 ล้านบาท
- ระยอง เป็นจีน 13 หน่วย มูลค่า 29 ล้านบาท สวีเดน 14 หน่วย มูลค่า 28 ล้านบาท สหรัฐอเมริกา 4 หน่วย มูลค่า 15 ล้านบาท เดนมาร์ก 3 หน่วย มูลค่า 12 ล้านบาท เยอรมนี 3 หน่วย มูลค่า 10 ล้านบาท
- เพชรบุรี เป็นสหรัฐอเมริกา 5 หน่วย มูลค่า 27 ล้านบาท ญี่ปุ่น 2 หน่วย มูลค่า 18 ล้านบาท เยอรมนี 3 หน่วย มูลค่า 17 ล้านบาท สวิตเซอร์แลนด์ 2 หน่วย มูลค่า 12 ล้านบาท นอร์เวย์ 2 หน่วย มูลค่า 12 ล้านบาท
ทั้งนี้กล่าวได้ว่า ใน 10 ประเทศที่โอนกรรมสิทธิ์สูงสุด ยังเป็นจีน 5,707 หน่วย มูลค่า 29,038 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ 49% ซื้อขนาดพื้นที่ 223.70 ตารางเมตร ราคาโดยเฉลี่ย 5.1 ล้านบาท รองลงมารัสเซีย อเมริกา เมียนมา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี ไต้หวัน กัมพูชา อินเดีย