นายทุนจีนหลวง
ในสมัยศักดินา (ดูหมายเหตุ 1) หน่วยงานที่ดูแลการค้าขายกับต่างประเทศแบ่งเป็น ‘กรมท่าขวา’ ดูแลการค้ากับประเทศทางตะวันตกและกิจการมุสลิม ส่วน ‘กรมท่าซ้าย’ ดูแลการค้ากับประเทศตะวันออกและเรื่องจีน ทั้งสองหน่วยงานนี้ขึ้นกับ ‘กรมคลัง’ ซึ่งดูแลทั้งเรื่องเงินทองของแผ่นดินและเรื่องการค้ากรมท่าซ้ายดูแลการค้ากับจีน ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีกำลังซื้อมหาศาล กรมท่าซ้ายนี้จึงต้องรู้ภาษาจีน และมีเส้นสายกับคนที่จีน ดังนั้นจึงถูกผูกขาดโดยคนเชื้อสายจีน เจ้ากรมมีบรรดาศักดิ์ ‘พระยาโชฎึกราชเศรษฐี’
ตระกูลที่ผูกขาดตำแหน่งพระยาโชฎึกราชเศรษฐี คือคนจากตระกูลโชติกเสถียร โชติกพุกกณะ และโชติกสวัสดิ์ (คำว่า โชติก แปลมาจากคำว่า โชฏึก นั่นเอง) และยังมีตระกูลเครือญาติอีกมากมาย ซึ่งเป็นคนจีนฮกเกี้ยน เช่น จาติกวณิช (แซ่โซว)
ในยุคศักดินา ขุนนางเจ้าสัวมักจะคนจีนเชื้อสายฮกเกี้ยน เพราะเป็นคนจีนกลุ่มแรกที่รับราชการในราชสำนักไทย ต่อมาหลังสมัยกรุงธนบุรี มีคนจีนแต้จิ๋วเข้ามาตั้งรกรากในไทยมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว หลังจากนั้น ขุนนางเจ้าสัวจึงเริ่มมีคนแต้จิ๋วมากขึ้น
และในสมัยพระเจ้าตาก ได้เกิดชนชั้นใหม่ที่เรียกว่า ‘จีนหลวง’ (หมายเหตุ 2) ประกอบไปด้วยจีนฮกเกี้ยนและแต้จิ๋ว ในสมัยรัตนโกสินทร์ จีนหลวงเหล่านี้จะมีความเป็น ‘หลวง’ มากขึ้นผ่านการเกี่ยวดองกับราชสำนัก อย่างการถวายบุตรีให้เป็นเจ้าจอมของพระเจ้าแผ่นดิน ตัวอย่างเช่น
จีนหลวงไม่ใช่แค่เป็นแขนขาคอยช่วยเหลือราชสำนักในการควบคุมคนจีน และเป็นเครือญาติของราชสำนักเท่านั้น แต่ยังช่วยดูแลการค้าระหว่างประเทศให้ และทำหน้าที่เป็นคนเก็บภาษีด้วย นี่คือจุดเริ่มต้นที่การพาณิชย์และการคลังตกอยู่ในมือคนจีน
- หลวงบรรจงวานิช (เหล่าบุ่นโข่ย) พ่อค้าที่มาจากจีนในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 มีบุตรชาย คือ พระยาพิสณฑ์สมบัติบริบูรณ์
- พระยาพิสณฑ์สมบัติบริบูรณ์ (เจ้าสัวยิ้ม พิศลยบุตร) เป็นเจ้าภาษีฝิ่น มีบุตรี คือ เจ้าจอมมารดาอ่วม (บุตรีคนที่ 2), เจ้าจอมเอม (บุตรีคนที่ 8), เจ้าจอมช่วง (บุตรีคนที่ 9) ในรัชกาลที่ 5
- เจ้าจอมมารดาอ่วม มีพระโอรส คือ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ ต่อมาคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ
- พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ มีพระโอรส คือ หม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร (ต่อมาเป็น พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ)
- พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ มีพระธิดา คือ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (ต่อมาคือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ)
จีนหลวงไม่ใช่แค่เป็นแขนขาคอยช่วยเหลือราชสำนักในการควบคุมคนจีน และเป็นเครือญาติของราชสำนักเท่านั้น แต่ยังช่วยดูแลการค้าระหว่างประเทศให้ และทำหน้าที่เป็นคนเก็บภาษีด้วย นี่คือจุดเริ่มต้นที่การพาณิชย์และการคลังตกอยู่ในมือคนจีน
เงินสยามในมือจีน
ความมั่งคั่งของคนจีนในประเทศไทยไม่ได้มาจากการดูแลกาารค้าเท่านั้น แต่ยังมาจากการการรับสัมปทานบริหารเศรษฐกิจและการเงินแทนขุนนางไทย ในยุคศักดินา ราชสำนักขาดผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเงินจึงมักจะให้สัมปทานคนจีนหาเงินเข้ารัฐ และเงินเหล่านั้นมักมาจากการประมูล สัมปทานธุรกิจหวย (อากรหวย) และบ่อนการพนัน (อากรบ่อนเบี้ย)เฉพาะในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 มีการให้สัมปทานการเก็บภาษีอากรแก่คนจีนถึง 38 สัมปทาน ครอบคลุมอากรหวยไปจนถึงอากรสุรา
คนจีนยังเป็นผู้ริเริ่มระบบเศรษฐกิจแบบตลาด (Market economy) ขึ้นในไทย เช่น คนไทยปลูกข้าว พ่อค้าจีนจะซื้อข้าวไปขายต่อ ทำให้เกิดธุรกิจผูกขาดการค้าข้าวขึ้นมา เมื่อบวกกับการริเริ่มระบบการเงิน การควบคุมภาษี ทำให้การหมุนเวียนของสินค้าและเงินตราอยู่ในมือคนจีน
ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงกรุงธนบุรีจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ยังมีการอพยพเข้ามาของคนจีนเป็นจำนวนมาก คนจีนเหล่านี้มาหาโอกาสใหม่ในชีวิตของตน แต่ก็ยังเป็นแรงงานสำคัญของประเทศสยามด้วย ดังนั้น ปัจจัยการผลิตของประเทศสยาม คือ ทุนและแรงงาน จึงอยู่ในมือคนจีนเข้าไปอีก
ขณะที่รัฐบาลยุคศักดินาไม่มีปัญหากับการที่เศรษฐกิจอยู่ในมือคนจีน ตราบใดที่นักธุรกิจจีนทำเงินเข้ารัฐได้มาก ดังนั้น คนจีนจึงไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานเหมือนชนชั้นไพร่ชาวสยาม เพียงแต่ ‘ผูกปี้’ คือเสียภาษีแทนการเกณฑ์แรงงาน ทำให้รัฐบาลได้ทั้งแรงงาน ได้ทั้งผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และได้ทั้งเงินรายได้เข้ารัฐ
น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า
ไม่น่าแปลกใจที่ จอห์น ครอเฟิร์ด (John Crawfurd) หรือ ‘การะฝัด’ ทูตของบริเตนที่เดินทางมาเจรจาการค้าเสรีกับสยามในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงกล่าวว่า คนจีนอพยพนั้นคือ "การนำเข้าที่สำคัญที่สุดจากจีนมายังสยาม" (หมายเหตุ 3) เพราะมีคุณต่อเศรษฐกิจของชนชั้นนำ มากกว่าโทษแม้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ยังทรงเห็นคุณของคนจีนต่อเศรษฐกิจ อย่างที่ทรงมีทัศนะว่า “พวกจีนทั้งหลายซึ่งเข้ามาในกรุงสยามนี้ย่อมมาทำการให้เป็นความเจริญแก่แผ่นดินของเราเป็นอันมาก เพราะเหตุฉะนั้นพวกจีนจึงได้รับความปกครองทำนุบำรุงด้วยความเอื้อเฟื้อเสมอเหมือนอย่างคนไทย ความสนิทสนมในระหว่างพวกจีนกับราษฎรของเราย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมิได้ถือว่าเป็นคนมาแต่ต่างประเทศ ... เมืองเรามีแผ่นดินเป็นอันมาก ซึ่งยังต้องการคนอันจะมาทำการให้เกิดผลทวียิ่งขึ้ เพราะฉะนั้นเมื่อพวกจีนเข้ามากขึ้นเพียงใด เราก็ยิ่งเป็นที่พอใจ” (หมายเหตุ 4)
แต่เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ตระกูลจีนเก่าแก่ เช่น สายโชฏึกทั้งหลายมีบทบาทลดลง เพราะกาารค้าไม่ได้ทำกันด้วยเรือสำเภาอีก แต่ด้วยเรือแบบตะวันตก และตลาดใหญ่ๆ ถูกตะวันตกควบคุมเกือบหมด ส่วนรัฐบาลเลิกพึ่ง ‘จีนหลวง’ หันไปพึ่งพาจีน ‘เจ้าสัวใหม่’ ที่เข้ามารับสัมปทานด้านต่างๆ จนร่ำรวย
อันที่จริงแล้วความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของสยามเริ่มมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เพราะตลาดใหญ่ของสยาม คือจีนตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด เมื่อรัชกาลที่ 4 ส่งทูตไปยังจีน คณะทูตยังถึงกับถูกปล้นกลางทาง และเมื่อตลาดจีนพังพินาศลง ทางการสยามจึงต้องหาแหล่งทุนใหม่ เช่น การค้าขายกับตะวันตก
แต่การตกอยู่ใต้อิทธิพลตะวันตกมากเกินไปก็เป็นอันตราย ดังนั้น ชนชั้นนำของสยามจึงต้องส่งเสริม ‘จีนใหม่’ เพื่อคอยถ่วงดุลพวกฝรั่ง และจีนใหม่เหล่านั้นไม่ใช่พวกจีนหลวง แต่เป็นพวกที่ทรงอิทธิพลในชุมชนจีนสามัญ และยังเป็นผู้นำสมาคมลับจำพวกอั้งยี่ (หมายเหตุ 5) ที่ต่อต้านอิทธิพลฝรั่งและราชสำนักราชวงศ์ชิง
จีนใหม่เหล่านี้จะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจในยุคต่อไปของสยามประเทศ
จากจีนหลวงสู่เจ้าสัวใหม่
เมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง ในที่สุด ตำแหน่งโชฎึกราชเศรษฐีก็หมดความสำคัญลงไป ผู้ดำรงตำแหน่งคนสุดท้ายคือ พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ผ่อง โชติกะพุกกะณะ) บุตรของพระยาโชฎึกราชเสรษฐี (พุก ต้นสกุล โชติกะพุกกะณะ)ตระกูลจีนหลวงรุ่นเก่าเหล่านี้จะค่อยๆ คลี่คลายบทบาทตัวเองจากตัวกลางทางเศรษฐกิจ มาเป็นผู้เล่นทางการเมืองทั้งในระบบศักดินาและในระบอบใหม่ เช่น คนของตระกูลจาติกวณิช คือ หลุย จาติกวณิช ที่เริ่มจากงานในกรมกองด้านการค้าและภาษี (ปลัดกรมสรรพการ) ต่อมาได้กลายเป็นอธิบดีกรมตำรวจ มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอธิกรณ์ประกาศ
- พระยาอธิกรณ์ประกาศ (หลุย จาติกวณิช) มีบุตรชายคนที่ 3 ชื่อ เกษม จาติกวณิช ผู้ก่อตั้งและผู้ว่าการคนแรกของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมรสกับคนในตระกูลล่ำซำ
- พระยาอธิกรณ์ประกาศ (หลุย จาติกวณิช) มีบุตรชายคนที่ 5 ชื่อ ไกรศรี จาติกวณิช อดีตอธิบดีกรมศุลกากร และกรมสรรพากร อดีตผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
- ไกรศรี จาติกวณิช มีบุตรชายชื่อ กรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
หมายเหตุ
- ผู้เขียนใช้คำว่า ‘สมัยศักดินา’ กับยุคที่พระมหากษัตริย์มีมีอำนาจบริหารรัฐบาล แทนที่จะใช้คำว่า ‘สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์’ เพราะสถานะของพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระราชอำนาจเบ็ดเสร็จหรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพิ่งจะเริ่มในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แต่ก่อนนั้น พระราชอำนาจมิได้เบ็ดเสร็จ แต่ต้องขึ้นกับดุลอำนาจของพระบรมวงศ์ เช่น กรมพระราชวังบวรฯ (วังหน้า) ขุนนางที่ทรงอิทธิพล (เช่น ตระกูลบุนนาค) และอำนาจปกครองหัวเมืองของเจ้าเมืองท้องถิ่น รวมถึงระบบประเทศราช อำนาจของเจ้าและขุนนางที่มีศักดินาเหล่านี้ถ่วงดุลกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และแทรกแซง และท้าทายพระองค์บ่อยครั้ง จนกระทั่ง รัชกาลที่ 5 ทรงใช้ความพยายามอย่างสูงที่จะรวบอำนาจเจ้าและขุนนางศักดินามาอยู่ที่พระองค์ และจัดการบริหารปกครองที่รวมศูนย์สำเร็จเป็นครั้งแรก
- Tarling, Nicholas. ed. (1992). “The Cambridge History of Southeast Asia: From early times to c. 1800.” Cambridge University Press. p.350.
- Chris, Baker. Phongpaichit, Pasuk. (2022). “A History of Thailand”. Cambridge University Press. p.37.
- แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย. (2007). “วิถีจีนไทยในสังคมสยาม”. สํานักพิมพ์มติชน. P. 66.
- Choi, Chi-cheung. Shiroyama, Tomoko. Viana, Venus. ed. (2022). “Strenuous Decades Global Challenges and Transformation of Chinese Societies in Modern Asia”. De Gruyter. p.61.