17 กันยายน 2566 พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรับมอบอํานาจจาก พิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันอังคารที่ 19 กันยายนนี้ เวลา 10.00 น. ตนพร้อมทนายความจะไปยื่นฟ้อง สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. และนักวิชาการมหาวิทยาลัยชื่อดังต่อศาลอาญา ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 มาตรา 328
พร้อมพงศ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา ภายหลังที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีคําสั่งแต่งตั้งคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จํานวน 9 คน ซึ่งมีชื่อ พิชิต รวมอยู่ด้วย สมชัย ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในลักษณะใส่ความ พิชิต ในเรื่องเดิมที่ สมชัย เคยโพสต์มาแล้วเกี่ยวกับกรณีที่ พิชิต ได้เคยต้องคําพิพากษาในคดีละเมิดอํานาจศาล
ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการให้สินบนใดๆ และไม่ใช่คดีอาญา แต่การให้สัมภาษณ์ของ สมชัย เพื่อให้สังคมเข้าใจว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการให้สินบนศาล ซึ่งเป็นความเท็จ โดยการฟ้องคดีนี้ พิชิตจะเรียกค่าเสียหายจาก สมชัย 50 ล้านบาท
พร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า การที่ พิชิต ได้ยื่นฟ้อง สมชัยครั้งนี้เพื่อปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของตนเอง และเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดของคนในสังคม เพราะเรื่องที่ พิชิต ต้องคําพิพากษานั้น ไม่ใช่เรื่องการให้สินบนเจ้าหน้าที่ศาล และไม่ใช่คดีอาญาด้วย เรื่องนี้ สมชัยทราบข้อเท็จจริงเป็นอย่างดีว่าความผิดฐานให้สินบนกับความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล เป็นกฎหมายคนละฉบับ และองค์ประกอบความผิดต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ พิชิต ได้เคยสมัคร สส.และได้รับเลือกเป็น สส.มาแล้วเมื่อปี 2554 สมชัย เป็น กกต. ในขณะนั้น ก็ทราบมติของ กกต. ที่วินิจฉัยว่า พิชิต ไม่ขาดคุณสมบัติในการสมัครเพราะไม่เคยต้องคําพิพากษาในคดีอาญามาก่อน และการที่นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งให้ พิชิต เป็นที่ปรึกษานายกฯ ก็ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องคดีของ พิชิตเลย แต่ สมชัยกลับมาพูดใส่ความ และดูแคลนพิชิต ต้องการที่จะทําลายชื่อเสียงของพิชิต อย่างเห็นได้ชัด
“ดังนั้น การยื่นฟ้องคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย เพื่อปกป้องชื่อเสียงของพิชิตเท่านั้น ไม่ได้มีความแค้นใดเป็นการส่วนตัวต่อกันแต่อย่างใด ส่วนรายละเอียดของประเด็นที่จะฟ้องจะได้ แจ้งให้ทราบอีกครั้งในวันที่ยื่นฟ้อง” พร้อมพงศ์ กล่าว
ขณะที่ในวันเดียวกันนี้ (17 กันยายน) สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีพิชิต เตรียมส่งทนายฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ระบุว่า “ฟ้องมาก็ฟ้องกลับครับ ไม่ว่าอะไร เคยสมัคร สส.นั่นคุณสมบัตินึง คุณสมบัติรัฐมนตรี ก็อีกคุณสมบัตินึง ไม่เหมือนกันคนละมาตรา จะมาอ้างว่าเคยสมัคร สส.แล้วไม่มีปัญหาไม่ได้ครับ อ่านรัฐธรรมนูญให้ครบก่อนมาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้วย”
พร้อมพงศ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา ภายหลังที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีคําสั่งแต่งตั้งคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จํานวน 9 คน ซึ่งมีชื่อ พิชิต รวมอยู่ด้วย สมชัย ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในลักษณะใส่ความ พิชิต ในเรื่องเดิมที่ สมชัย เคยโพสต์มาแล้วเกี่ยวกับกรณีที่ พิชิต ได้เคยต้องคําพิพากษาในคดีละเมิดอํานาจศาล
ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการให้สินบนใดๆ และไม่ใช่คดีอาญา แต่การให้สัมภาษณ์ของ สมชัย เพื่อให้สังคมเข้าใจว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการให้สินบนศาล ซึ่งเป็นความเท็จ โดยการฟ้องคดีนี้ พิชิตจะเรียกค่าเสียหายจาก สมชัย 50 ล้านบาท
พร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า การที่ พิชิต ได้ยื่นฟ้อง สมชัยครั้งนี้เพื่อปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของตนเอง และเพื่อป้องกันการเข้าใจผิดของคนในสังคม เพราะเรื่องที่ พิชิต ต้องคําพิพากษานั้น ไม่ใช่เรื่องการให้สินบนเจ้าหน้าที่ศาล และไม่ใช่คดีอาญาด้วย เรื่องนี้ สมชัยทราบข้อเท็จจริงเป็นอย่างดีว่าความผิดฐานให้สินบนกับความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล เป็นกฎหมายคนละฉบับ และองค์ประกอบความผิดต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ พิชิต ได้เคยสมัคร สส.และได้รับเลือกเป็น สส.มาแล้วเมื่อปี 2554 สมชัย เป็น กกต. ในขณะนั้น ก็ทราบมติของ กกต. ที่วินิจฉัยว่า พิชิต ไม่ขาดคุณสมบัติในการสมัครเพราะไม่เคยต้องคําพิพากษาในคดีอาญามาก่อน และการที่นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งให้ พิชิต เป็นที่ปรึกษานายกฯ ก็ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเรื่องคดีของ พิชิตเลย แต่ สมชัยกลับมาพูดใส่ความ และดูแคลนพิชิต ต้องการที่จะทําลายชื่อเสียงของพิชิต อย่างเห็นได้ชัด
“ดังนั้น การยื่นฟ้องคดีนี้จึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย เพื่อปกป้องชื่อเสียงของพิชิตเท่านั้น ไม่ได้มีความแค้นใดเป็นการส่วนตัวต่อกันแต่อย่างใด ส่วนรายละเอียดของประเด็นที่จะฟ้องจะได้ แจ้งให้ทราบอีกครั้งในวันที่ยื่นฟ้อง” พร้อมพงศ์ กล่าว
ขณะที่ในวันเดียวกันนี้ (17 กันยายน) สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีพิชิต เตรียมส่งทนายฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ระบุว่า “ฟ้องมาก็ฟ้องกลับครับ ไม่ว่าอะไร เคยสมัคร สส.นั่นคุณสมบัตินึง คุณสมบัติรัฐมนตรี ก็อีกคุณสมบัตินึง ไม่เหมือนกันคนละมาตรา จะมาอ้างว่าเคยสมัคร สส.แล้วไม่มีปัญหาไม่ได้ครับ อ่านรัฐธรรมนูญให้ครบก่อนมาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้วย”
