นอกจากเนื้อหาคำพูดของคล็อปแล้ว ปฏิกิริยาอันแตกสลายระหว่างให้สัมภาษณ์ของนายใหญ่ชาวเยอรมัน ยิ่งชวนให้แฟนหงส์ใจหายเหลือเกิน หลังจากต้องผจญกับรูปเกมที่ทีมรักถูกโจมตีจากทีมนกนางนวลแบบไร้ทางสู้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ กับทีมที่เมื่อฤดูกาลที่แล้วยังลงเล่นลุ้นคว้า 4 แชมป์อยู่หมกๆ แต่ปีนี้กับมีผลงานย่ำแย่ลงเรื่อยๆ และไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นได้เลย
อีโก้ของ เยอร์เกน คล็อปป์
ก่อนเกมหายนะจะเริ่มไม่กี่วัน เยอร์เกน คล็อปป์ ได้ให้สัมภาษณ์ ถึงการเสริมตัวผู้เล่นในตำแหน่งกองกลาง ที่ลิเวอร์พูลกำลังขาดแคลนเอาไว้ว่า การกระโจนเข้าตลาดซื้อขายไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง เราจะลองแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีในสนาม ซึ่งเกมนี้นายใหญ่เยอรมันก็ทำสิ่งนั้นจริงๆ เขาดันมิดฟิลด์ตัวกลางอย่าง ติอาโก อัลคันทารา ขึ้นไปเล่นช่วยทำเกมรุกในตำแหน่งหมายเลข 10 คอยสนับสนุน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โคดี กักโป แนวรุกป้ายแดงที่ต้องไปยืนเป็นคู่หน้า ซึ่งการปรับแทคติคนี้ดูน่าสนใจเลยทีเดียว แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นความยอดเยี่ยมของทีม ‘นกนางนวล’
ไบรท์ตัน ในยุคโค้ชคนก่อนอย่าง แกรห์ม พอตเตอร์ มีทีเด็ดอยู่ตรงทรงบอลที่แทบไม่แตกต่างกับทีมใหญ่ ครองบอลเหนียวแน่น จ่ายบอลรับส่งเคลื่อนที่กันแม่นยำ และเมื่อพอตเตอร์ระเห็จไปอยู่กับเชลซี หลายคนก็กังวลว่ารูปเกมอันเป็นเอกลักษณ์ของทีมนกนางนวลจะหายไปหรือไม่แต่เมื่อนายใหญ่คนใหม่อย่าง โรแบร์โต เด แซร์บี เข้ามาถึง เราก็ได้พบว่าสถิติการส่งบอลสำเร็จของกุนซือชาวอิตาลีนั้น จัดว่าโรคจิตกว่าพอตเตอร์เสียอีก ส่งผลให้ฟอร์มทีมนกนางนวลในปีนี้นอกจากไม่แย่ลงแล้ว ยังยกระดับขึ้นไปกว่าเดิม ดังนั้นการที่ทีมหงส์แดงหาญอาจใช้แทคติกใหม่ที่พึ่งปรับเปลี่ยนในเกมไปเยือนไบรท์ตันที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ถือว่าไม่ต่างกับการฆ่าตัวตาย
ติอาโก แทบไมได้บอลเลยหลังจากไปยืนในแดนหน้า ส่วนแดนกลางที่ขาดติอาโกก็เสียศูนย์ รูปเกมที่ออกมาจึงกลายว่าเป็นไบรท์ตัน รุกบีบกดดันเพรสซิ่งหนักใส่ลิเวอร์พูลจนโงหัวไม่ขึ้น ไม่ต่างที่ทีมหงส์แดงตอนพีคๆ เคยใช้เผด็จศึกคู่แข่ง ซึ่งเมื่อรูปเกมแพ้ทุกประตูแบบนี้ ความหวังสุดท้ายก็อาจจะต้องไปหวังพึ่งความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะ แต่มันก็ไร้ผล
ผู้เล่น ‘หมด’ ทุกตำแหน่ง
การทยอยบาดเจ็บของผู้เล่นสำคัญของทีมหงส์แดง จนมาถึงการบาดเจ็บของกองหน้าคนล่าสุดอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ ทำให้รู้เลยว่าแม้ศูนย์หน้าค่าตัวแพงจะพลาดโอกาสทองไปมากเพียงใด แต่เมื่อไม่มีเขาอยู่ในสนาม ลิเวอร์พูลไม่สามารถสร้างโอกาสมาเพื่อให้ยิงพลาดได้ด้วยซ้ำ แนวรุกตัวใหม่อย่าง กักโป ที่ยังแทบไม่มีเวลาปรับตัวกับทีม ก็ไม่สามารถเล่นเกมเพรสแดนบนได้แบบ ที่ ซาดิโอ มาเน โรแบโต้ เฟอมีโน เคยทำร่วมกับซาลาห์มาก่อนได้ด้านแผงมิดฟิลด์เมื่อติอาโกถูกดันไปช่วยเกมรุก แดนกลางที่เหลือเพียง กัปตัน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ใช้ร่างกายมาหนักจนโรยราอย่างสมบูรณ์ ฟาบินโญ ที่ออกทะเลไปไกลโพ้นจนไม่เห็นวี่แววที่จะกลับมา และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ ในเกมที่แทคติกม่อยกระรอกแบบนี้ ทำให้สามกองกลางหงส์แดงที่หมดสภาพแล้ว ไม่ต่างจากกรวยซ้อม ที่บรรดาผู้เล่นไบร์ทตันเลี้ยงผ่านไปอย่างง่ายดาย
และเมื่อแดนกลางยวบ แดนหลังที่ขาดแนวรับเบอร์หนึ่งอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ถูกอาการบาดเจ็บลักพาตัวไป ก็ต้องรับงานหนักขึ้นมาอีกหลายเท่า กลายเป็นว่าถูกแนวรุกของไบร์ทตัน โดยเฉพาะดาวเตะปลาดิบความเร็วสูงอย่าง คาโอรุ มิโตมะ พาทัวร์สนาม ดิ เอเม็กซ์ เสียจนทั่ว หมดปัญญาที่นายทวารอย่าง อลิสซง เบคเกอร์ จะช่วยเหลือทีมเอาไว้ได้ ลิเวอร์พูลพ่ายไบร์ทตันขาดลอย 3-0 แบบเป็นรองในทุกกระเบียดของสนาม
‘มรสุม’ นอกสนาม
และอีกปัจจัยสำคัญที่หลายฝ่ายพยายามหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับสโมสรลิเวอร์พูลในตอนนี้ ก็คือเรื่องราวของฝ่ายบริหารที่กำลังอีรุงตุงนัง เพราะข่าวที่ออกมาทั้งการลาออกของบรรดาผู้บริหาร โดยเฉพาะผู้อำนวยการสโมสรคนเก่าอย่าง ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ และคนปัจจุบันอย่าง จูเลียน วอร์ด ที่พึ่งเข้ามารับตำแหน่ง รวมถึงผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยที่อยู่กับสโมสรมานานนับทศวรรษอย่าง เอียน เกรแฮม ก็ต่างพากันประกาศลาออก หรือข่าวใหญ่ล่าสุดอย่างการประกาศขายทีมลิเวอร์พูลของกลุ่ม เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป อีกทั้งข่าวลือเรื่องการแตกหักแบ่งฝักแบ่งฝ่ายระหว่าง ฝ่ายบริหาร กับ ฝ่ายเยอร์เกน คล็อปป์ ที่ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่ก็ยังคงถูกปล่อยออกมาเป็นระยะๆ ทำให้บรรดาแฟนหงส์ท้องถิ่นบางส่วนก็เริ่มออกมาลุกฮือ ซึ่งในเมื่อความจริงยังไม่ปรากฏแน่ชัด เราก็ได้แต่ต้องรอติดตามต่อไปดังนั้นการที่ทีมเจอมรสุมรอบด้านขนาดนี้ ก็ไม่แน่ว่าการที่ปัญหาเรื่องการเสริมทัพติดๆ ขัดๆ ลามไปถึงปัญหาฟอร์มการเล่น แท้จริงแล้วอาจจะมีส่วนเกิดจากปัญหานอกสนามก็เป็นได้ ก็ได้แต่หวังแทนแฟนหงส์ว่า ทีมลิเวอร์พูลจะผ่านพ้นพายุลูกนี้ไปได้ในเร็ววัน เพราะดั่งในเนื้อเพลง ‘You’ll Never Walk Alone’ เพลงเชียร์ประจำทีมของเหล่า ‘เดอะค็อป’ ท้องฟ้าหลังผ่านพายุฝนนั้น ย่อมเป็นสีทองผ่องอำไพเสมอ