สำนักข่าว Kyodo รายงานว่า นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ฟูมิโอะ คิชิดะ กล่าวว่า รัฐบาลมีแผนที่จะขึ้นภาษีและจะให้งบกลาโหมปีละ 1 ล้านล้านเยน (ราว 260 หมื่นล้านบาท) ทุกปีตั้งแต่ปีงบประมาณ 2027 เพื่อให้ครอบคลุม 1 ใน 4 ของเงินทุนเพิ่มเติมที่จำเป็นสำหรับการใช้จ่ายด้านกลาโหมที่เพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านความปลอดภัยมากมาย
คิชิดะซึ่งตั้งเป้าาว่าจะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมของประเทศให้มีมูลค่ารวม 43 ล้านล้านเยน (ราว 10 ล้านล้านบาท) ในอีก 5 ปีข้างหน้า เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2023 กล่าวว่า รัฐบาลจะไม่ขึ้นภาษีเงินได้เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่รุมเร้าครัวเรือน แต่การเพิ่มภาษีนิติบุคคลถือเป็นทางเลือกที่ได้ผล
ญี่ปุ่นได้จำกัดการใช้จ่ายด้านกลาโหมไว้เป็นเวลานานที่ประมาณ 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โดยจัดสรรไว้ประมาณ 5.4 ล้านล้านเยนในปีงบประมาณปัจจุบัน
ทั้งนี้ คิชิดะ วางแผนที่จะเพิ่มตัวเลขดังกล่าวเป็น 2% ภายในปีงบประมาณ 2027 โดยกำหนดให้ญี่ปุ่นต้องใช้จ่ายรวมกัน 43 ล้านล้านเยนในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากประมาณ 27.47 ล้านล้านเยนภายใต้แผนปัจจุบันเป็นเวลา 5 ปีนับจากปีงบประมาณ 2019
คิชิดะกล่าวในที่ประชุมระหว่างรัฐบาลและสมาชิกสภานิติบัญญัติของพรรครัฐบาล ว่า “เราจำเป็นต้องได้รับงบประมาณ1 ล้านล้านเยนโดยใช้มาตรการทางภาษี เราจำเป็นต้องขอความร่วมมือ…แม้ว่ารัฐบาลจะเดินหน้าขึ้นภาษี แต่ก็จะค่อยเป็นค่อยไปในช่วงหลายปี และจะไม่มีการขึ้นภาษีในปีงบประมาณ 2023”
ในจำนวนเงินที่ต้องหาเพิ่มเติมอีกราวปีละ 4 ล้านล้านเยนในทุกๆ ปี รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะหาเงินให้ได้ 1 ล้านล้านเยนโดยการกำหนดอัตราภาษีที่สูงขึ้น และส่วนที่เหลือด้วยการผลักดันการปฏิรูปการใช้จ่ายและตัดเงินส่วนเกินและรายได้ที่ไม่ใช่ภาษี
นอกจากนี้ คิชิดะยังขอให้คณะกรรมการภาษีของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และพรรคโคเม (NKP) ตัดสินใจว่าควรกำหนดเป้าหมายอัตราภาษีเมื่อใดและอัตราใด เนื่องจากรัฐบาลผสมกำลังเร่งทำงานเพื่อสรุปแผนปฏิรูปภาษีสำหรับปีงบประมาณ 2023 ในสัปดาห์หน้า
แผนดังกล่าวนี้มีขึ้นท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากบรรดาส.ส.อนุรักษนิยมว่าให้ปรับปรุงทิศทางการดำเนินงานของกลาโหมเพื่อจัดการกับการเผชิญหน้ากับจีน โครงการขีปนาวุธและนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ และสงครามของรัสเซียกับยูเครน
ญี่ปุ่นกำลังทบทวนเอกสารสำคัญ 3 ฉบับเกี่ยวกับนโยบายด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ เพื่อให้สะท้อนถึงสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น ซึ่งจะใช้เป็นเหตุผลในการใช้จ่ายด้านกลาโหมมากขึ้น จากนั้นรัฐบาลจะจัดทำงบประมาณแผ่นดินสำหรับปีงบประมาณหน้าก่อนสิ้นปี
อย่างไรก็ดี สภาพทางการคลังของญี่ปุ่นนั้นแย่ที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว และการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจได้กลับมาเป็นอุปสรรคท่ามกลางการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ประกอบกับการรุกรานยูเครนของรัสเซียก็ยิ่งทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจยิ่งฝืดเคือง
บางคนในพรรค LDP ออกมาเรียกร้องให้มีการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อใช้จ่ายด้านกลาโหมมากขึ้น ในขณะที่ผู้นำธุรกิจได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มของภาระภาษีที่สูงขึ้นในภาคธุรกิจ
พรรคการเมืองได้ตกลงกันแล้วเกี่ยวกับความจำเป็นที่ญี่ปุ่นจะต้องได้รับการสนับสนุนด้านกลาโหม ซึ่งเป็นการพัฒนาที่สำคัญของประเทศที่ยึดมั่นในนโยบายที่เน้นการป้องกันเพียงอย่างเดียวมาช้านาน
ทั้งนี้ สหรัฐฯ พันธมิตรเก่าแก่ของญี่ปุ่นยินดีกับความพยายามของโตเกียวในการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม ซึ่งในช่วงเวลานี้ทั้ง 2 ประเทศได้ส่งเสริมความสามารถในการทำงานร่วมกันของกองทัพสหรัฐฯ และกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวนั้นสร้างความตื่นตระหนกแก่จีนอย่างมาก
คิชิดะซึ่งตั้งเป้าาว่าจะเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมของประเทศให้มีมูลค่ารวม 43 ล้านล้านเยน (ราว 10 ล้านล้านบาท) ในอีก 5 ปีข้างหน้า เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2023 กล่าวว่า รัฐบาลจะไม่ขึ้นภาษีเงินได้เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่รุมเร้าครัวเรือน แต่การเพิ่มภาษีนิติบุคคลถือเป็นทางเลือกที่ได้ผล
ญี่ปุ่นได้จำกัดการใช้จ่ายด้านกลาโหมไว้เป็นเวลานานที่ประมาณ 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โดยจัดสรรไว้ประมาณ 5.4 ล้านล้านเยนในปีงบประมาณปัจจุบัน
ทั้งนี้ คิชิดะ วางแผนที่จะเพิ่มตัวเลขดังกล่าวเป็น 2% ภายในปีงบประมาณ 2027 โดยกำหนดให้ญี่ปุ่นต้องใช้จ่ายรวมกัน 43 ล้านล้านเยนในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจำนวนเงินดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากประมาณ 27.47 ล้านล้านเยนภายใต้แผนปัจจุบันเป็นเวลา 5 ปีนับจากปีงบประมาณ 2019
คิชิดะกล่าวในที่ประชุมระหว่างรัฐบาลและสมาชิกสภานิติบัญญัติของพรรครัฐบาล ว่า “เราจำเป็นต้องได้รับงบประมาณ1 ล้านล้านเยนโดยใช้มาตรการทางภาษี เราจำเป็นต้องขอความร่วมมือ…แม้ว่ารัฐบาลจะเดินหน้าขึ้นภาษี แต่ก็จะค่อยเป็นค่อยไปในช่วงหลายปี และจะไม่มีการขึ้นภาษีในปีงบประมาณ 2023”
ในจำนวนเงินที่ต้องหาเพิ่มเติมอีกราวปีละ 4 ล้านล้านเยนในทุกๆ ปี รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะหาเงินให้ได้ 1 ล้านล้านเยนโดยการกำหนดอัตราภาษีที่สูงขึ้น และส่วนที่เหลือด้วยการผลักดันการปฏิรูปการใช้จ่ายและตัดเงินส่วนเกินและรายได้ที่ไม่ใช่ภาษี
นอกจากนี้ คิชิดะยังขอให้คณะกรรมการภาษีของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และพรรคโคเม (NKP) ตัดสินใจว่าควรกำหนดเป้าหมายอัตราภาษีเมื่อใดและอัตราใด เนื่องจากรัฐบาลผสมกำลังเร่งทำงานเพื่อสรุปแผนปฏิรูปภาษีสำหรับปีงบประมาณ 2023 ในสัปดาห์หน้า
แผนดังกล่าวนี้มีขึ้นท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากบรรดาส.ส.อนุรักษนิยมว่าให้ปรับปรุงทิศทางการดำเนินงานของกลาโหมเพื่อจัดการกับการเผชิญหน้ากับจีน โครงการขีปนาวุธและนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ และสงครามของรัสเซียกับยูเครน
ญี่ปุ่นกำลังทบทวนเอกสารสำคัญ 3 ฉบับเกี่ยวกับนโยบายด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ เพื่อให้สะท้อนถึงสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น ซึ่งจะใช้เป็นเหตุผลในการใช้จ่ายด้านกลาโหมมากขึ้น จากนั้นรัฐบาลจะจัดทำงบประมาณแผ่นดินสำหรับปีงบประมาณหน้าก่อนสิ้นปี
อย่างไรก็ดี สภาพทางการคลังของญี่ปุ่นนั้นแย่ที่สุดในบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว และการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจได้กลับมาเป็นอุปสรรคท่ามกลางการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ประกอบกับการรุกรานยูเครนของรัสเซียก็ยิ่งทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจยิ่งฝืดเคือง
บางคนในพรรค LDP ออกมาเรียกร้องให้มีการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อใช้จ่ายด้านกลาโหมมากขึ้น ในขณะที่ผู้นำธุรกิจได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มของภาระภาษีที่สูงขึ้นในภาคธุรกิจ
พรรคการเมืองได้ตกลงกันแล้วเกี่ยวกับความจำเป็นที่ญี่ปุ่นจะต้องได้รับการสนับสนุนด้านกลาโหม ซึ่งเป็นการพัฒนาที่สำคัญของประเทศที่ยึดมั่นในนโยบายที่เน้นการป้องกันเพียงอย่างเดียวมาช้านาน
ทั้งนี้ สหรัฐฯ พันธมิตรเก่าแก่ของญี่ปุ่นยินดีกับความพยายามของโตเกียวในการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม ซึ่งในช่วงเวลานี้ทั้ง 2 ประเทศได้ส่งเสริมความสามารถในการทำงานร่วมกันของกองทัพสหรัฐฯ และกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวนั้นสร้างความตื่นตระหนกแก่จีนอย่างมาก