ปรากฏการณ์ธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ซึ่งเป็นธนาคารขนาดกลางในอันดับที่ 18 ของธนาคารในสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าสินทรัพย์ราว 212,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ล้มสลายเมื่อ 10 มีนาคมที่่่ผ่าน จนส่งผลให้หน่วยงานกำกับและดูแลเงินฝากของธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องโดดเอามาดูแลเงินฝากและสินทรัพย์ของลูกค้าที่ฝากเงินไว้กับ SVB
แม้จะบอกว่าธนาคาร SVB เป็นสถาบันการเงินที่เน้นปล่อยสินเชื่อแก่ลูกค้าที่เป็นบรรดาบริษัทสตาร์ทอัพเทคโนโลยีเป็นหลัก แต่การล้มสลายของ SVB ก็นับว่าสร้างผลกระทบไม่น้อยต่อความเชื่อมั่นในภาคการธนาคารของสหรัฐฯ เห็นได้จากมูดีส์ สถาบันจัดเครดิตเรตติ้งหั่นเครดิตระบบธนาคารสหรัฐฯ สู่ "เชิงลบ"
แม้จะบอกว่าปัจจัยเหตุที่นำไปสู่การล้มของธนาคาร SVB จะมาจาก 2 ปัจจัยหลัก เรื่องแรกคือ การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้ง ซึ่งโดยปกติแล้วบรรดาบริษัทสตาร์ทอัพที่เป็นลูกค้าหลักของ SVB มักจะอ่อนไหวต่อการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคาร เนื่องจากหลายบริษัทมีภาระการดำเนินงานที่สูงอยู่แล้ว มีต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายสูง ทำให้สตาร์ทอัพจำนวนไม่น้อยต้องอาศัยเงินกู้มาหมุนสภาพคล่อง ก็ยิ่งทำให้ต้นทุนการบริหารสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
อีกปัจจัยคือ กระแสการถดถอยของบรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายรายก่อนหน้านี้ อย่างเมตา กูเกิล ทวิตเตอร์ ที่ปลดพนักงานเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ก็ส่งผลสะเทือนต่อบรรดาสตาร์ทอัพสายเทคอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนคือ ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน หรือ Bank Run ที่ทำให้ธนาคาร SVB ล้มในระยะเวลาเพียง 48 ชั่วโมง นั่นมาจากกระแสข่าวบนโลกโซเชียลมีเดีย ที่มีส่วนทำให้เกิดกระแสตื่นตัวแห่ถอนจาก SVB ในเวลาอันรวดเร็ว
แม้จะบอกว่าธนาคาร SVB เป็นสถาบันการเงินที่เน้นปล่อยสินเชื่อแก่ลูกค้าที่เป็นบรรดาบริษัทสตาร์ทอัพเทคโนโลยีเป็นหลัก แต่การล้มสลายของ SVB ก็นับว่าสร้างผลกระทบไม่น้อยต่อความเชื่อมั่นในภาคการธนาคารของสหรัฐฯ เห็นได้จากมูดีส์ สถาบันจัดเครดิตเรตติ้งหั่นเครดิตระบบธนาคารสหรัฐฯ สู่ "เชิงลบ"
แม้จะบอกว่าปัจจัยเหตุที่นำไปสู่การล้มของธนาคาร SVB จะมาจาก 2 ปัจจัยหลัก เรื่องแรกคือ การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้ง ซึ่งโดยปกติแล้วบรรดาบริษัทสตาร์ทอัพที่เป็นลูกค้าหลักของ SVB มักจะอ่อนไหวต่อการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคาร เนื่องจากหลายบริษัทมีภาระการดำเนินงานที่สูงอยู่แล้ว มีต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายสูง ทำให้สตาร์ทอัพจำนวนไม่น้อยต้องอาศัยเงินกู้มาหมุนสภาพคล่อง ก็ยิ่งทำให้ต้นทุนการบริหารสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
อีกปัจจัยคือ กระแสการถดถอยของบรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายรายก่อนหน้านี้ อย่างเมตา กูเกิล ทวิตเตอร์ ที่ปลดพนักงานเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ก็ส่งผลสะเทือนต่อบรรดาสตาร์ทอัพสายเทคอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนคือ ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงิน หรือ Bank Run ที่ทำให้ธนาคาร SVB ล้มในระยะเวลาเพียง 48 ชั่วโมง นั่นมาจากกระแสข่าวบนโลกโซเชียลมีเดีย ที่มีส่วนทำให้เกิดกระแสตื่นตัวแห่ถอนจาก SVB ในเวลาอันรวดเร็ว
โซเชียลมีเดียแพนิก
หุ้นของธนาคารทั่วโลกที่ร่วงลงไม่กี่วันที่ผ่านมา เนื่องจากความหวั่นวิตกว่าการล่มสลายของธนาคาร SVB จะกลายเป็นโดมิโน่ เพราะเพียงหนึ่งวันหลัง SVB ล้ม ธนาคาร Signature ที่เป็นสถาบันการเงินหลักในอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี่ก็ล้มตามผ่านมาไม่ถึงสองวันก็เกิดข่าวหุ้นของธนาคารเครดิตสวิส สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ดิ่งลงกว่า 80% หลังมีข่าวว่าธนาคารแห่งชาติซาอุฯ ไม่สามารถเพิ่มทุนให้เครดิตสวิสได้ เพราะจะเกินข้อกำหนดการเข้าถือหุ้นของรัฐบาลสวิส ท่ามกลางวิกฤตของธนาคารที่เผชิญมาตั้งแต่กลางปีก่อน ยิ่งตอกย้ำถึงความกังวลว่าแบงก์อาจล้มเป็นโดมิโน่ กระทั่งธนาคารกลางสวิสกระโดดลงมาอุ้มด้วยการให้สินเชื่อ 50,000 ล้านฟรังก์สวิส เพียงไม่กี่ชั่วโมงราคาหุ้นของเครดิตสวิส จากที่ดิ่งลงกว่า 80% ก็เด้งกลับมาแตะที่ 20% ในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังมีข่าวแบงก์ชาติโดดอุ้ม
แม้ว่าสองเหตุการณ์นี้จะมีปัจจัยหลักที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่เร่งสปีดวิกฤตเหล่านี้ จนถึงการตอบสนองที่ตามมา ต่างมีลักษณะพิเศษตรงกันคือ กระแสทางโซเชียลมีเดียอย่างบ้าคลั่งที่กระตุ้นความตื่นตระหนก
แดเนียล เดวีส์ กรรมการผู้จัดการของ Frontline Analysts กล่าวกับ Financial Times อธิบายปรากฏการณ์ Bank Run ในยุคที่โซเชียลมีเดียทรงอิทธิพลว่า กรณีของธนาคาร SVB เป็นตัวสะท้อนอย่างดีว่า โซเชียลมีเดียอย่างทวิตเตอร์มีส่วนสำคัญที่ทำให้สภาพคล่องของสถาบันการเงินทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว
เดวีส์ อธิบายว่า โดยธรรมชาติของระบบธนาคารอยู่บนความเชื่อมั่นของลูกค้าในการที่ธนาคารจะดูแลเงินฝากของพวกเขา และมีรากฐานแข็งแกร่งพอหากพวกเขาต้องการถอนเงินฝากในจำนวนมาก เมื่อมีผู้คนถอนเงินมากขึ้น ธนาคารต้องมีหลักประกันที่มั่นคงพอจะครอบคลุมลูกค้าที่้ต้องการเงิน
อย่างไรก็ตามมีหลายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มากมายที่ชี้ว่า ปรากฏการณ์คนแห่ถอนเงินไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน ข่าวลือเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้ของธนาคารอาจก่อตัวขึ้นเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปีก่อนที่จะนำไปสู่การล่มสลายของธนาคาร
แอนดรูว เมททริก ศาสตราจารย์ด้านการเงินและการจัดการที่ Yale School of Management กล่าวกับ CNN ว่า ย้อนกลับไปช่วงทศวรรษ 1920 ก่อนที่เราจะมีการสื่อสารทันสมัย ข่าวลือธนาคารล้มผู้คนอาจสังเกตได้จากปรากฏการณ์ที่ฝูงชนยืนเบียดเสียดด้านนอกธนาคารเพื่อถอนเงิน ตรงข้ามกับปัจจุบันที่กรณีของ SVB ไม่ได้มีภาพเหล่านั้น จะสังเกตว่ามีผู้คนเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่แห่ไปถอนเงิน ส่วนมากทำธุรกรรมผ่านออนไลน์ จากกระแสข่าวลือที่พูดคุยกันในทวิเตอร์
หากเทียบกันระหว่างกรณีล่มสลายของ SVB ที่นับเป็นความล้มเหลวของภาคธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ รองจาก Washington Mutual ที่เคยล้มเมื่อปี 2008 นั้น กรณีของ Washington Mutual สั่งสมกระแสข่าวลือนานถึง 8 เดือน ตรงข้ามกับกรณี SVB ที่ข่าวลือแพร่สะพัดเพียง 2 วัน
จากการเก็บข้อมูลของ Frontline Analysts พบว่า ข้อความบน Twitter และที่แสดงความวิตกเกี่ยวกับ SVB เพิ่มสูงขึ้นช่วง 2 วันก่อนหน้าที่ธนาคารจะล้ม เช่นเดียวกับบทสนทนาที่ถูกแลกเปลี่ยนกันอย่างต่อเนื่องใน WhatsApp ประกอบกับความสะดวกในการเข้าถึงที่ธนาคารออนไลน์ผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือของปัจจุบัน ถูกมองว่าเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ร้ายแรงสำหรับวิกฤตในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญมองว่าอิทธิพลในยุคโซเชียลมีเดีย ที่มีผลต่อพฤติกรรมทางจิตวิทยา อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ Bank Run ของธนาคาร SVB
สอดคล้องกับความเห็นของ ไมเคิล ไอเมอร์แมน (Michael Imerman) ศาสตราจารย์จากวิทยาลัย Paul Merage School of Business แห่งมหาวิทยาลัย California-Irvine กล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับ SVB มันคือปรากฏการณ์ bank sprint ไม่ใช่ bank run ที่มีโซเชียลมีเดียเป็นตัวเร่งกระแสตื่นตระหนก
สิ่งที่ลูกค้า SVB เพียงไม่กี่รายจะเข้าใจคือ ผลพวงจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เช่นเดียวกับธนาคารทุกแห่ง SVB ได้ลงทุนเงินฝากของลูกค้าในรูปแบบพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีอายุนาน ปัญหาคือพันธบัตรมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ พันธบัตรที่ SVB เป็นเจ้าของก็เริ่มสูญเสียมูลค่าที่มีนัยสำคัญ
ลูกค้าของ SVB หลายรายโดยเฉพาะที่เป็นบรรดาบริษัทสตาร์ทอัพ ต่างก็ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเช่นกัน ในขณะที่พวกเขายังจำเป็นต้องเข้าถึงเงินฝากเพื่อให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายทางธุรกิจในแต่ละวัน แต่ด้วยมูลค่าการลงทุนที่ลดลง ธนาคารจึงพยายามดิ้นรนเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าผ่านการระดมทุนผ่านการขายหุ้นของธนาคาร มีรายงานว่าบริษัทร่วมทุน Founders Fund ได้แจ้งให้บริษัทต่างๆ ในพอร์ตโฟลิโอย้ายเงินออกจาก SVB
ประกอบกับบรรดาเทคสตาร์ทอัพในซิลิคอนวัลเลย์ ที่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าของ SVB มักใช้ช่องทางสื่อโซเชียลแพร่กระจายข่าวเหล่านี้สู่การพูดคุยบนโลกอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว นั่นยิ่งทำให้ผู้คนหวั่นวิตก แห่กดเข้าแอปพลิเคชันนำเงินออกจากบัญชี ขณะที่บางส่วนก็แห่ไปที่ธนาคารเพื่อถอนเงินสด
ข่าวนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้มีลูกค้าถอนเงินรวมเกือบ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 1 ใน 5 ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ SVB ถือครองในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง จนธนาคารต้องสั่งระงับการถอนเงิน จุดนี้เองที่ทำให้ท้ายที่สุดหน่วยงานกำกับด้านเงินฝากของเฟดต้องกระโดดเข้ามาช่วย
แพทริก แมคเฮนรี สมาชิกสภาคองเกรส ประธานคณะกรรมการบริการทางการเงินของสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐฯ กล่าวถึงความวุ่นวายของ SVB ว่าคือ “ปรากฏการณ์ Bank Run แห่งแรกขับเคลื่อนโดยทวิตเตอร์" ข้อความบางข้อความที่ทำให้ลูกค้าธนาคารหลงเชื่อจนเกินข้อเท็จจริง ซึ่งในทางกลับกันหากลูกค้าของ SVB ไม่แห่ถอนเงินฝากออกจากธนาคารอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ธนาคารคงมีเวลาเพียงพอในการระดมสภาพคล่องเพื่ออยู่รอดต่อไปได้
ไม่ต่างกับ ลินด์ซีย์ จอห์นสัน ประธานสมาคมธนาคารเพื่อผู้บริโภค (Consumer Bankers Association) กล่าวในถ้อยแถลงว่า “ช่วงหลายวันที่ผ่านมาเป็นเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นจากข้อมูลที่ผิดบนโซเชียลมีเดีย เหล่านี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงข้อเท็จจริงในอุตสาหกรรมการเงิน”
สิ่งที่ลูกค้า SVB เพียงไม่กี่รายจะเข้าใจคือ ผลพวงจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เช่นเดียวกับธนาคารทุกแห่ง SVB ได้ลงทุนเงินฝากของลูกค้าในรูปแบบพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีอายุนาน ปัญหาคือพันธบัตรมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ พันธบัตรที่ SVB เป็นเจ้าของก็เริ่มสูญเสียมูลค่าที่มีนัยสำคัญ
ลูกค้าของ SVB หลายรายโดยเฉพาะที่เป็นบรรดาบริษัทสตาร์ทอัพ ต่างก็ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเช่นกัน ในขณะที่พวกเขายังจำเป็นต้องเข้าถึงเงินฝากเพื่อให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายทางธุรกิจในแต่ละวัน แต่ด้วยมูลค่าการลงทุนที่ลดลง ธนาคารจึงพยายามดิ้นรนเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าผ่านการระดมทุนผ่านการขายหุ้นของธนาคาร มีรายงานว่าบริษัทร่วมทุน Founders Fund ได้แจ้งให้บริษัทต่างๆ ในพอร์ตโฟลิโอย้ายเงินออกจาก SVB
ประกอบกับบรรดาเทคสตาร์ทอัพในซิลิคอนวัลเลย์ ที่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าของ SVB มักใช้ช่องทางสื่อโซเชียลแพร่กระจายข่าวเหล่านี้สู่การพูดคุยบนโลกอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว นั่นยิ่งทำให้ผู้คนหวั่นวิตก แห่กดเข้าแอปพลิเคชันนำเงินออกจากบัญชี ขณะที่บางส่วนก็แห่ไปที่ธนาคารเพื่อถอนเงินสด
ข่าวนี้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้มีลูกค้าถอนเงินรวมเกือบ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 1 ใน 5 ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ SVB ถือครองในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง จนธนาคารต้องสั่งระงับการถอนเงิน จุดนี้เองที่ทำให้ท้ายที่สุดหน่วยงานกำกับด้านเงินฝากของเฟดต้องกระโดดเข้ามาช่วย
แพทริก แมคเฮนรี สมาชิกสภาคองเกรส ประธานคณะกรรมการบริการทางการเงินของสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐฯ กล่าวถึงความวุ่นวายของ SVB ว่าคือ “ปรากฏการณ์ Bank Run แห่งแรกขับเคลื่อนโดยทวิตเตอร์" ข้อความบางข้อความที่ทำให้ลูกค้าธนาคารหลงเชื่อจนเกินข้อเท็จจริง ซึ่งในทางกลับกันหากลูกค้าของ SVB ไม่แห่ถอนเงินฝากออกจากธนาคารอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ธนาคารคงมีเวลาเพียงพอในการระดมสภาพคล่องเพื่ออยู่รอดต่อไปได้
ไม่ต่างกับ ลินด์ซีย์ จอห์นสัน ประธานสมาคมธนาคารเพื่อผู้บริโภค (Consumer Bankers Association) กล่าวในถ้อยแถลงว่า “ช่วงหลายวันที่ผ่านมาเป็นเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นจากข้อมูลที่ผิดบนโซเชียลมีเดีย เหล่านี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงข้อเท็จจริงในอุตสาหกรรมการเงิน”
โดมิโนทางโซเชียลมีเดีย
กรณี SVB อาจเป็นธนาคารแห่งแรกที่ดำเนินการในยุคโซเชียลมีเดีย แต่ไม่ใช่ธนาคารแห่งแรกที่ธุรกิจสั่นคลอนจากการคาดเดาของโลกทวิตเตอร์ เพราะหนึ่งวันหลัง SVB ล้มได้เกิดกรณี Signature สถาบันการเงินของคริปโทเคอร์เรนซีล้ม ตามมาด้วยข่าวที่ธนาคารเครดิตสวิสถูกธนาคารแห่งชาติซาอุฯ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ปฏิเสธเพิ่มทุน เนื่องจากกฎหมายของสวิสที่มีข้อจำกัดในการถือครอง เพราะนักลงทุนซาอุฯ ได้เพิ่มสัดส่วนในเครดิต สวิสเป็นจำนวนถึง 9.8% และหากเพิ่มทุนอีกสัดส่วนนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเกิน 10% ก็จะมีปัญหาด้านกฎระเบียบของทางการสวิสท่ามกลางสภาวะที่ธนาคารเผชิญมาตั้งแต่ปีที่แล้วที่ลูกค้าของเครดิตสวิสถอนเงินไปไม่น้อยกว่า 123 พันล้านฟรังก์สวิส จากเรื่องอื้อฉาวและความผันผวนของหุ้นในก่อนหน้านั้น ทำให้ในไตรมาสที่ 4 นั่นทำให้ธนาคารชะลอการแถลงผลประกอบการประจำปีออกไป เพราะธนาคารมีผลขาดทุนสุทธิประจำปีอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 7.3 พันล้านฟรังก์สวิส มากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตซัพไพร์มปี 2008
เหล่านี้ยิ่งทำให้นักลงทุนหวั่นวิตกพากันเทขายหุ้นเครดิตสวิสจนดิ่งแดง หากนับจากจุดสูงสุดของหุ้นเครดิตสวิสที่เคยทำไว้ตอนกลางปี 2022 จนถึงช่วงที่หุ้นตก มูลค่าหุ้นของเครดิตสวิส ลดลงไปกว่า 85% แต่ด้วยความสำคัญของธนาคารแห่งนี้ซึ่ง "ใหญ่เกินกว่าจะล้มได้" ทำให้ธนาคารสวิสโดดอุ้ม ราคาหุ้นก็ค่อยๆ กลับขึ้นมา 20.21% จากการซื้อขายวันนี้ (16 มี.ค.)
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข่าวลือทำหุ้นเครดิตสวิสดิ่ง เพราะย้อนไปเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หุ้นของบริษัทร่วงลง 12% หลังจากที่มีนักข่าวรายหนึ่งทวีตข้อความว่า “ธนาคารเพื่อการลงทุนระหว่างประเทศรายใหญ่” กำลังใกล้ถึงจุดจบ ทวีตดังกล่าวถูกถอดความอย่างผิดๆ ข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วฟอรัมออนไลน์และบัญชีโซเชียลมีเดียเหมือนไฟป่า
แม้กรณีของทั้ง SVB และเครดิตสวิสจะมีหลายปัจจัยที่สนับสนุนปรากฏการณ์ดังกล่าว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า อิทธิพลของโซเชียลมีเดียที่เป็นตัวเร่งวิกฤตด้านการเงินให้เข้าสู่เส้นสีแดงเร็วกว่า ระบบสภาพคล่องของธนาคารเองเสียอีก กรณีเหล่านี้ทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างตั้งคำถามว่า สื่อสังคมออนไลน์ควรถูกจัดเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงในโลกการเงินยุคใหม่ได้หรือไม่