กองทุนกีฬา ปมเศรษฐาปลดปานปรีย์

30 เม.ย. 2567 - 09:44

  • แรงกระเพื่อมหลังปรับคณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1

  • การปรับเปลี่ยนรัฐมนตรี มีความหมายซ่อนเร้น

  • หลังจากนี้แล้ว ครม.ชุดใหม่จะเดินไปได้ไกลขนาดไหน

ministry-foreign-affairs-thailand-SPACEBAR-Hero.jpg

ปรับ ครม. เศรษฐา ทวีสิน 1/1 คราวนี้เป็นความต้องการของ นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ‘คนแดนไกล’ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ทักษิณ ชินวัตร ที่สังคมเชื่อว่า เป็นคนกดปุ่มแทบไม่ได้มีบทบาทอะไรเลย  แค่ทักท้วง ทัดทานเสนอแนะ การปรับเปลี่ยนในบางตำแหน่งที่เห็นว่า หากตามใจเศรษฐา จะเสียหาย

อาทิ เศรษฐา อยากเป็น ‘รัฐมนตรีกลาโหม’ ซึ่งเป็นที่มาของกระแสข่าวปรับ ครม. ตอนแรก ที่มีข่าวว่า ‘สุทิน  คลังแสง’ จะเป็นรัฐมนตรีคนแรกที่ถูกริบเก้าอี้เสนาบดีกลาโหมคืน แต่ถูกทักษิณทักท้วงผ่านคนใกล้ตัวว่า  

‘เป็นรัฐมนตรีคลัง ไม่เคยเข้ากระทรวง  คุยกับข้าราชการกระทรวงการคลังไม่เกิน 10 นาที ไม่ทำงานในหน้าที่รัฐมนตรีคลัง ย้ายไปกลาโหมก็คงเหมือนเดิม  จะไปทำไม ให้สุทินเป็นต่อไปดีแล้ว’

หรือกระแสข่าวที่ว่า รมช.คลัง ‘กฤษฎา จีนะวิจารณะ’ จะถูกปลด เพื่อปูนบำเหน็จให้ ‘เผ่าภูมิ  โรจนสกุล’ เลขานุการ รมต. คลัง  ทีมงานของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นมาเสียบแทน แต่ ‘พีระพันธ์  สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติไม่ยอม เพราะเป็นโควตาของ พรรครวมไทยสร้างชาติ

ประกอบกับ ชื่อชั้นของ เผ่าภูมิกับกฤษฎา เทียบกันไม่ได้ คนหนึ่งเป็นอดีตปลัดกระทรวงการคลัง เมื่อเกษียณแล้ว ถูกขอให้มาช่วยงาน เพราะทั้ง รมต. และ รมช. มีแต่มือสมัครเล่น  อีกคนหนึ่งเป็นเด็กยิ่งลักษณ์ ที่อ่อนทั้งพรรษาและความรู้  ได้รับมอบหมายให้ผลักดัน โครงการดิจิทัล วอลเล็ต จะครบปีแล้ว ยังเดินหน้า ถอยหลัง ชักเข้าชักออก ไม่มีอะไรเป็นชิ้น เป็นอัน

ออกทีวี ดีเบตเรื่องนี้พร้อมกับ ‘ศิริกัญญา ตันสกุล’ แห่งพรรคก้าวไกลทีใด ทำให้ศิริกัญญาดูดี น่าเชื่อถือขึ้นมาทันตา 

การเอาเผ่าภูมิ มาแทนกฤษฎา จะตอบคำถามสังคมยากว่า เผ่าภูมิ ‘มีดีตรงไหน’ สุดท้าย กระทรวงการคลัง จึงต้องมี รมช. 3 คน และใช้วิธีแบ่งงาน ดึงกรมสรรพสามิต และสำนักงานสลากกินแบ่ง ที่มีผลประโยชน์มหาศาล ที่กฤษฎา ดูแล ให้มาอยู่ในการกำกับของ ‘พิชัย ชุณหวิชร’ หรือเผ่าภูมิ

ส่วนการเปลี่ยน รมต. สาธารณสุข จาก ‘นพ. ชลน่าน ศรีแก้ว’ เป็น ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ เพราะเศรษฐา ไม่ชอบหมอชลน่านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จึงสบโอกาส ‘ฟันให้พ้นหูพ้นตา’ โดยไม่คำนึงว่า หมอชลน่านเคยเป็นหนังหน้าไฟ ออกหน้าในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เดินเกมเปิดในสภาผู้แทนราษฎร ให้เศรษฐาได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 

การยึดตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ของ ‘ปานปรีย์ พหิทธานุกร’ ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตำแหน่งเดียว  ทักษิณส่งสัญญาณให้เศรษฐารู้ล่วงหน้าว่า ปานปรีย์ลาออกแน่ ๆ  แต่เศรษฐาไม่ฟัง  และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คือ ปานปรีย์ลาออก  หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ไม่กี่ชั่วโมง     

เศรษฐา โพสต์ X  ตอนหนึ่งว่า

‘คุยกับปานปรีย์แล้วนี่ ไม่เห็นว่าอะไร’

แต่เศรษฐาบอกไม่หมดคือ บอกปานปรีย์ว่า จะย้าย ‘จักรพงษ์​  แสงมณี’ เด็กของยิ่งลักษณ์อีกคนหนึ่งที่เป็น รมช. ต่างประเทศไปซึ่งคนไทยไม่รู้จักเลย ไปเป็น รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ให้ปานปรีย์ว่าการต่างประเทศคนเดียว แต่ไม่ได้บอกปานปรีย์ว่า จะยึดตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีคืน    

เมื่อมีพระบรมราชโองการ ให้ปานปรีย์ พ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ปานปรีย์ จึงยื่นใบลาออกทันที ท่ามกลางความตกตะลึง คาดไม่ถึง ของเศรษฐา และคนของพรรคเพื่อไทย

ปานปรีย์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี  นอกจากเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ยังได้รับมอบหมายให้กำกับ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา  และสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 

การกำกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทำให้ ปานปรีย์ ต้องเป็นประธานกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ หรือ กองทุนกีฬา โดยตำแหน่งด้วย

กองทุนกีฬา มีรายได้จาก ภาษีสุรา และบุหรี่ ในอัตราร้อยละ 2 ของภาษีสุราและบุหรี่ที่กรมสรรพาสามิตเก็บได้ในแต่ละปี  ตกปีละประมาณ 4,000 ล้านบาท สำหรับใช้จ่ายในการพัฒนากีฬา เป็นเงินรางวัลนักกีฬา และโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการกีฬา

บรรดากองทุนทั้งหลายที่จัดตั้งขึ้น ภายใต้กระทรวงต่าง ๆ และองค์กรอิสระ เป็นที่นิยมของนักการเมือง เพราะเป็นช่องทางในการ ‘คอร์รัปชั่น’ ที่คล่องคอกว่าการทุจริตงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างตามปกติ  เพราะวัตถุประสงค์การใช้เงินกองทุน นั้น กว้างขวาง ครอบจักรวาล ภายใต้คำว่า 

‘เพื่อพัฒนา เพื่อฝึกอบรม เพื่อเสริมสร้าง’

ตัวอย่าง เช่น กองทุนหมู่บ้าน, กองทุนฟื้นฟูเกษตร, กองทุนพัฒนาดิจิทัลของกระทรวงดีอีเอส ที่มีงบประมาณ หลักหมื่นล้าน, กองทุน USO ของ กสทช., กองทุน สปสช. และ กองทุน สสส. เป็นต้น 

กองทุนกีฬาก็เช่นเดียวกัน ที่เป็นเป้าหมายในการดูดเงินของเครือข่ายผู้มีอำนาจในแต่ละยุค แต่ยุคนี้ มีปานปรีย์ ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นคนตรงไปตรงมา นั่งขวางอยู่

การยึดตำแหน่งรองนายกฯของปานปรีย์คืน ก็เพื่อเปิดทางให้ รองนายกคนใหม่ ที่คาดว่า จะเป็น พิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีคลัง เพื่อนสนิทเศรษฐา และจารุพงษ์ ทวีสิน อดีตคู่เขยเศรษฐา ไปนั่งเป็นประธานบอร์ดกองทุนกีฬาด้วย

พิชัยนั้น เป็นนายกสมาคมมวยกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2554  และเป็นรองประธานคณะกรรมการโอลิมปิกไทย จนถึงปัจจุบัน  เป็นยุคที่มวยสากลสมัครเล่นไทยตกต่ำที่สุด  ไม่ได้เหรียญใดๆเลย ในโอลิมปิก ที่บราซิล และญี่ปุ่น และไม่ได้เหรียญทองในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์2018 และ 2012 สองครั้งติดต่อกัน

ถ้าจะให้พิชัย  เข้ามาคุมกองทุนกีฬา ที่มีงบประมาณปีละ 4,000ล้านบาท  โดยปานปรีย์ยังเป็นรองนายกฯอยู่ ก็คงหาเหตุผลมาอธิบายยากว่า ทำไมไม่ให้ปานปรีย์ เป็นประธานบอร์ดกองทุนกีฬาต่อไป เศรษฐา จึงเลือกวิธีปลดปานปรีย์ ออกจากรองนายกรัฐมนตรีเลย ทั้ง ๆ ที่ รองนายกฯ จะมีกี่คนก็ได้ โดยไม่คิดว่า ปานปรีย์จะตอบโต้แบบเด็ดขาด ฉับพลัน และออกแถลงการณ์ตบหน้าเศรษฐาฉาดใหญ่

ทักษิณคงสมน้ำหน้า ที่เตือนแล้วไม่ฟัง หลังจากนี้ คงปล่อยให้ ครม. เศรษฐา 1/1  ไปให้สุดทาง จนไปต่อไม่ไหว หมดสภาพ คามือเศรษฐาไปเอง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์