ลุ้นค่าประกันถูกลง สำหรับคนใช้รถ EV

ข่าวใหญ่สำหรับผู้คนที่เพิ่งใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV คงหนีไม่พ้นเรื่อง เหตุไฟไหม้รถยนต์ไฟฟ้า EV ของ BYD ATTO 3 ระหว่างชาร์จแบตเตอรี่ที่ อุดรธานี ที่สร้างความตระหนก ตกใจ และขวัญเสียสำหรับบรรดาเจ้าของรถไฟฟ้า EV ป้ายแดงทั้งหลาย 

แน่นอนว่า กรณีที่เกิดขึ้นที่อุดรธานี ทาง BYD คงยากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบ และจำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ตัวเอง จึงต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่คำถามสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV ส่วนมากในเวลานี้ก็คือ ทำไม เบี้ยประกันที่ต้องจ่ายรายปี สำหรับรถ EV จึงสูงกว่ารถยนต์แบบสันดาปที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงค่อนข้างมาก 

คงต้องยอมรับว่า เกือบหนี่งปีที่ผ่านมา หลังจากรัฐบาลของ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีนโยบายจะส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในแถบอาเซียน แข่งกับ เวียดนาม และอินโดนีเซีย มีการผลักดันมาตรการหลายอย่าง เพื่อจูงใจให้มีการย้ายฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสารพัดยี่ห้อมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ที่พาเหรดกันเข้ามาหลายแบรนด์  

นอกเหนือจากลดภาษีนำเข้าในช่วงแรก เพื่อแลกเปลี่ยนกับการมาตั้งโรงงานผลิตและประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในไทยแล้ว ภาครัฐยังมีการช่วยสนับสนุนด้านราคาผ่านผู้นำเข้า เพื่อให้ราคารถไฟฟ้า EV เมื่อไปถึงมือผู้บริโภคถูกลง 

เพราะเหตุนี้ ทำให้เทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV ในไทยจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.  2566) มียอดจดทะเบียนรถ  EV ใหม่ สูงถึง 31,515 คัน คิดเป็นกว่า 9% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์ทั่วประเทศ และคาดว่าทั้งปีจะมียอดจดทะเบียนใหม่ถึง 6 หมื่นคัน  

ปัญหาอย่างหนึ่ง ที่บรรดาผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV กำลังปวดหัว ก็คือเรื่องของการทำประกันภัยรถยนต์ ที่อุตสาหกรรมประกันภัยรถยนต์ต้องมีการออกแบบกรมธรรม์แบบใหม่ เพื่อให้ความคุ้มครองที่สอดรับกับคุณลักษณะสำคัญ ๆ ของรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่มีชิ้นส่วนสำคัญที่เป็นหัวใจและมีมูลค่าสูงสุดคือ ‘แบตเตอรี่’ 

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย คปภ. จึงได้ยกร่างการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า EV เพื่อใช้เป็นมาตรฐานกลางสำหรับบรรดาบริษัทประกันภัย ในการออกกรมธรรม์ให้กับลูกค้า โดยคาดว่าจะสรุปออกเป็นประกาศคำสั่งนายทะเบียนได้ในช่วงเดือนกันยายนนี้ และจะให้เริ่มใช้กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า EV ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป 

โครงสร้างสำคัญหลัก คือ แบบกรมธรรม์ จะมีการระบุชื่อผู้ขับขี่ทั้งหมด เพื่อจะเก็บสถิติประวัติของผู้ขับขี่ และสร้างแรงจูงใจให้ผู้เอาประกันที่ขับรถดี ได้แต้มต่อในการจ่ายเบี้ยประกันที่ลดลง ทั้งยังจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุได้ด้วย 

ขณะเดียวกัน จะมีการวางโครงสร้างกรมธรรม์ ระบุความรับผิดต่อตัวแบตเตอรี่ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งปัจจุบันการรับประกันของผู้ผลิตตัวแบตเตอรี่อยู่ที่ประมาณ 8 ปี ซึ่งจะนำมาใช้เป็นหลักการคิดคำนวณค่าเสื่อมของอายุแบตเตอรี่ เนื่องจากตามหลักการประกันภัยจะเป็นการชดใช้ความเสียหายตามมูลค่า ณ การเกิดเหตุ 

ปัจจุบัน ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV จะทราบดีว่า ค่าเบี้ยประกันภัยของ รถ EV จะแพงกว่ารถยนต์สันดาป ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งสาเหตุสำคัญก็เพราะ มูลค่าของอะไหล่ที่ รถยนต์ไฟฟ้า EV ต้องนำเข้ามาทั้งหมด ทำให้ราคาแพงกว่า และต้นทุนการซ่อมก็ยังแพงกว่า ทำให้ต้องกำหนดเบี้ยประกันภัยที่จ่ายในแต่ละปีที่สูงกว่า แต่ก็เชื่อว่าเมื่อมีบริษัทผู้ผลิตรถในประเทศมากขึ้น ค่าเบี้ยประกันอาจจะลดลงได้ในอนาคต คาดว่า ช่วงต้นเดือน ก.ย.นี้ จะมีการประชุมหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับพิกัดอัตราเบี้ย (tariff rate) ว่าจะระบุยี่ห้อรถหรือรุ่นรถหรือไม่ แต่เบื้องต้นจะวางราคารถเป็นตัวตั้ง เช่น  

• ราคารถไม่เกิน 1 ล้านบาท อาจจะจัดเป็นรถกลุ่ม 5 (รถเอเชียขนาดเล็ก) 
• ราคารถ 1-2 ล้านบาท จัดเป็นรถกลุ่ม 4 (รถเอเชียขนาดกลาง) 
• ราคารถ 2-3 ล้านบาท จัดเป็นรถกลุ่ม 3 (รถเอเชียขนาดใหญ่)  
• มากกว่า 3-5 ล้านบาท จัดเป็นรถกลุ่ม 2 (กลุ่มรถยุโรปที่เป็นที่รู้จักทั่วไป)  
• ถ้าเป็นรถสปอร์ตหรือรถนำเข้าจะเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น 

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าก็มีอัตราเบี้ยประกันภัยสูงกว่ารถใช้น้ำมันเนื่องจากเป็นตลาดใหม่ บริษัทประกันต้องพิจารณาหลายเรื่อง จึงมีบริษัทประกันบางรายเท่านั้นเข้ามารับทำประกัน แต่หากเงื่อนไขต่าง ๆ ชัดเจน  บริษัทประกันภัยร่ายอื่นคงโดดเข้ามาร่วมวงมากขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นสินค้าประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ก็จะหลากหลายขึ้น ทั้งแผนคุ้มครอง เบี้ยประกัน ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็มีทางเลือกมากขึ้น