เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ ส่งแบรนด์ใหม่ ‘ข้าวแท่ง’ เจาะตลาดเรดดี้ทูอีท 3 หมื่นล้านบาท

9 ธ.ค. 2565 - 03:23

  • พัฒนานวัตกรรมอาหารพร้อมทานแบบถือมือเดียว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์รีบเร่งคนยุคใหม่

  • ใช้กลยุทธ์ราคาสินค้า 29 บาท ฝ่าวิกฤตเงินเฟ้อหวังเข้าถึงผู้บริโภคในหนึ่งอิ่ม

Brand-marketing-nsl-food-bakery-industry-ricebar-SPACEBAR-Hero
เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์  (NSL Foods) ผู้ผลิตสินค้าเบเกอรีรายใหญ่ของไทย ภายใต้แบรนด์ ปังไท, Natural Bites และ Bitterfin มานานร่วม 19 ปี ล่าสุดมองเห็นโอกาสพัฒนาสินค้าแบรนด์ใหม่ ‘ข้าวแท่ง’ (Rice Bar) ที่จะเข้ามาสร้างเซ็กเมนต์ใหม่ในตลาดหมวดอาหารพร้อมรับประทาน (Ready to Eat)  ที่มีมูลค่ารวมกว่า 20,000-30,000 ล้านบาทในปัจจุบัน และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องทุกปี

สมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ใช้งบลงทุนราว 70-80 ล้านบาท ขยายสายการผลิต (ไลน์) สินค้าใหม่ ‘ข้าวแท่ง’ มีกำลังการผลิตเต็มที่  1.5 แสนตันต่อวัน เพื่อทำตลาดกลุ่มใหม่ในหมวดอาหารพร้อมรับประทาน  

สำหรับสินค้าแบรนด์ ‘ข้าวแท่ง’ วางตำแหน่งทางการตลาดเป็นอาหารรองท้อง รองรับกลุ่มป้าหมายลูกค้า ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นไหม่ วัยทำงาน ที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแข่งกับเวลา และต้องการอาหารเมนูคาว หรือ หวานให้ความอิ่มท้องในปริมาณที่ไม่มากนักในชั่วโมงเร่งรีบ ของแต่ละวัน  

นอกจากนี้ เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ ยังทำงานร่วมกับ ‘เชฟ บีม-ภวินวัชร์ โชคเศรษฐปวินท์’ ท็อป เชฟ ประเทศไทย ในฐานะ เอ็กคลูซีฟ เชฟ  ในการพัฒนาเมนูอาหารหมวดของหวานร่วมกัน  เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าที่ชื่นชอบเมนูของหวานมีรสชาติอร่อย 

โดยแบรนด์ข้าวแท่ง ประกอบไปด้วยเมนูอาหารคาวหวานรวม 18 รายการแบ่งเป็นเมนูคาว 9 รายการ อาทิ ข้าวกระเพราไก่คลุก ข้าวผัดหมู ข้าวไก่กระเทียม ข้าวเหนียวหมูย่าง ข้าวเหนียวลาบหมู และเมนู   เบเกอรี 9 รายการ อาทิ ข้าวเหนียวน้ำกะทิทุเรียน ข้าวเหนียวสังขยานย้ำตาลอ้อย ข้าวเหนียวเผือกแปะก๊วย และข้าวเหนียวซุปครีมข้าวโพด เป็นต้น  

“อีกหนึ่งจุดเด่นสินค้า คือต้องการตอบโจทย์การกินข้าวด้วยมือเดียว เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ด้วย” สมชาย กล่าว
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/3ydMrgnSuMG7kV1M6HqA9L/6b3815290fd0bfbe7e258cdade42e6de/Brand-marketing-nsl-food-bakery-industry-ricebar-SPACEBAR-Photo01

จะทัชใจลูกค้าแมส ต้องใช้กลยุทธ์ราคาช่วย

สมชาย กล่าวอีกว่า บริษัทฯ วางกลยุทธ์ราคาสินค้า (Pricing Strategy) แบรนด์ข้าวแท่งทั้งเมนูคาวหวานในเบื้องต้นอยู่ที่ 29 บาทต่อชิ้น เพื่อทำตลาดสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างให้ครอบคลุมมากที่สุด โดยบริษัทได้ลดทอนกำไรสินค้าและหันไปบริหารจัดการต้นทุนการผลิตในภาพรวมแทน  

“หากนับราคาหนึ่งอิ่มทั้งเมนูคาวหวานของข้าวแท่งจะอยู่ที่เกือบ 60 บาทซึ่งถือว่าค่อนข้างคุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับราคาอาหารจานเดียวในปัจจุบัน โดยที่ลูกค้าเองก็สามารถเลือกจ่ายข้าวแท่งหมวดคาวหรือหวานอย่างใดอย่างหนึ่งได้ในราคา 29 บาทต่อหนึ่งมื้อได้  ซึ่งจากการสำรวจยังพบว่าปัจจุบันผู้บริโภคยอมจ่ายค้าอาหารให้กับเมนูของหวานหรือเบเกอรี โดยง่ายกว่าเมื่อเทียบกับอาหารคาว” สมชาย กล่าว
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/3CsMRxhZuwTwh5Ad7GFeNQ/e707d3e2d70263f3fd1dd4798130f71d/Brand-marketing-nsl-food-bakery-industry-ricebar-SPACEBAR-Photo02

ซอฟต์เพาเวอร์ไทย พาโกอินเตอร์

สำหรับการทำตลาดสินค้าข้าวแท่ง ในเบื้องต้น ผ่าน 2 รูปแบบหลัก คือ
  1. ร้านสาขาต้นแบบ (Flagship store) แห่งแรกภายใต้ชื่อ Rice Bar by NSL ที่ สยามสแควร์วัน เพื่อสะท้อนและสร้างการรับรู้แบรนด์ในกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยในอนาคตจะขยายไปยังสาขาอื่นๆ อาทิ สถานีรถไฟฟ้า อาคารสำนักงาน อาคารที่พักอาศัย รวมถึงการจำหน่ายแบบตู้กดสินค้าอัตโนมัติ (Vending machine) ในชุมชนต่างๆ ด้วย
  2. ทำตลาดผ่านโมเดลแฟรนไชส์ ซึ่งคาดว่าจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมราวปีหน้า
สมชาย กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ยังเตรียมพัฒนานวัตกรรมเมนูสินค้าใหม่ จากข้าวสายพันธุ์ต่างๆ ที่มีชื่อเสียงของไทยสำหรับแบรนด์ข้าวแท่ง ซึ่งมองว่าจะเป็นอีกหนึ่ง ซอฟต์เพาเวอร์ ในการทำตลาดส่งออกวัฒนธรรมอาหารของไทยไปยังต่างประเทศ ทดแทนการส่งออกข้าวของไทยแบบเดิม แต่จะอยู่ในรูปแบบของอาหารพร้อมทาน โดยเบื้องต้นจะเป็นตลาดกลุ่มประเทศเอเชีย ยุโรป และ สหรัฐอเมริกา ที่ให้ความสนใจสินค้าดังกล่าว  

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในปีแรกปีแรก (2566) จะมียอดขายสินค้าข้าวแท่งประมาณ 50-60 ล้านบาท และจะมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องทุกปีจากการขยายช่องทางการขายใหม่ๆ พร้อมหารือกับพันธมิตรช่องทางค้าปลีกสะดวกซื้อ โดยในสิ้นปี 2565 บริษัทวางเป้าหมายผลประกอบการอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2564 มีรายได้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท  

นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนปรับสัดส่วนรายได้เพื่อบริหารความเสี่ยงธุรกิจ โดยในปี 2569 จะมีรายได้จากช่องทางขายร้านค้าปลีกสะดวกซื้อ (เซเว่นอีเลฟเว่น)  สัดส่วน 70% จากปัจจุบันอยู่ที่ 85% และ จากช่องทางอื่นๆ (นอน-เซเว่นอีเลฟเว่น) อยู่ที่ 30% ปัจจุบันอยู่ที่ 15%
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/7xDQOwJkJu1hqk3rB7Emje/75b4f8367fa1039ac5229231389ff494/Brand-marketing-nsl-food-bakery-industry-ricebar-SPACEBAR-Photo03

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์