ทำไม Apple ยอมถอย หันมาผลิตสมาร์ทคาร์แทนรถยนต์อัตโนมัติ

8 ธ.ค. 2565 - 04:00

  • Apple ตัดสินใจชะลอโปรเจกต์การพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ หลังทุ่มเทพัฒนามานานสิบปี

  • ก่อนหน้านี้บริษัท Apple วางแผนว่าจะเปิดตัวรถยนต์ในปี 2025 แต่เป็นไปได้ว่าเราจะได้เห็น Apple Car รุ่นแรกที่มาพร้อมกับระบบอัจฉริยะภายในปี 2026 แต่มาพร้อมกับฟีเจอร์อัจฉริยะแทน

  • อะไรคืออุปสรรคสำคัญของการพัฒนารถยนต์อัตโนมัติ ทีมวิศวกร Apple มีคำตอบ

Business-Apple-will-focus-on-smart-car-instead-of-the-fully-autonomous-furistic-car-SPACEBAR-Thumbnail
ดูท่าว่าเราจะไม่ได้เห็นรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบของบิ๊กเทคฯ อย่าง Apple กันในเร็วๆ นี้ เพราะมีรายงานข่าวว่า Apple ได้ชะลอแผนการพัฒนาออกไปถึงปี 2026 หรือ 4 ปีข้างหน้า รวมทั้งปรับโฉมใหม่ จากเดิมที่เน้นดีไซน์สุดล้ำ สอดรับโลกอนาคต มาชูโมเดลรถอัจฉริยะในราคาเอื้อมถึงได้แทน 
 
การตัดสินใจครั้งนี้อาจเป็นสัญญาณชี้ว่า Apple ยอมกลืนน้ำลายตัวเองและรับสภาพความเป็นจริงว่าอุตสาหกรรมยานยนต์อัตโนมัตินั้นเป็น ‘อนาคต’ ก็จริง แต่ในปัจจุบันยังเต็มไปด้วยความท้าทายทั้งในเชิงเทคโนโลยีและธุรกิจ โดยเฉพาะความพร้อมสำหรับการออกสู่ตลาดพาณิชย์ 
 

ทำไม Apple จึงเปลี่ยนใจ? 

ก่อนหน้านี้ Apple วาดฝันว่าจะสร้างรถยนต์อัตโนมัติที่ไม่มีทั้ง ‘พวงมาลัย’ และ ‘คันเร่ง’ ซึ่งโดยทางทฤษฎีแล้ว คนขับสามารถเดินทางสะดวกสบายไม่ต่างจากผู้โดยสารที่นั่งอยู่บนรถลีมูซีน ภายในรถจะมี iPad พร้อมจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ติดตั้งตรงกลาง เพื่อมอบความบันเทิงตลอดการเดินทาง ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดนี้ Apple จึงเชื่อว่ารถยนต์อัตโนมัติของตนเองจะมีศักยภาพเหนือกว่าคู่แข่งอย่าง Tesla หรือ Waymo ของ Google  
 
นี่คือโปรเจกต์ที่คนในบริษัทเรียกกันว่า ‘Titan’ (ไททัน) หมายถึงยักษ์ใหญ่ ซึ่งตั้งเป้าว่าจะเปิดตัวในปี 2025 
 
ปรากฏว่าหลังทุ่มเทพัฒนาโปรเจกต์นี้กว่าสิบปี และใช้งบไปสูงถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ ปี แผนกนี้จึงตกที่นั่งลำบากเพราะมันไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ เลย ที่สำคัญการพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบยังมีอุปสรรคและขั้นตอนการทดสอบที่ต้องผ่านด่านมากมาย แม้ว่า Apple จะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าสูงถึง 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ แต่วงการเทคโนโลยีกำลังเผชิญกับคลื่นความท้าทายจากภาวะทางเศรษฐกิจและแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลง จนเกิดการเลย์ออฟครั้งใหญ่ 
 
ในที่สุด (7 ธ.ค.) Apple จึงตัดสินใจหยุดแผนการพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (fully autonomous vehicle) แล้วลดสเกลลงมาพัฒนาสมาร์ทคาร์ และวางราคาขายไม่เกิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3.5 ล้านบาท 
 
ที่ตลกร้ายก็คือ โมเดลตัวนี้จะมีแทบทุกสิ่งที่ Apple เคยบอกว่าจะไม่มี ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย คันเร่ง ที่เหยียบเบรก เบาะนั่งคนขับ รวมไปถึงดีไซน์ที่ไม่ต่างจากรถยนต์ทั่วไป แต่ข่าวดีสำหรับสาวกแบรนด์นี้ คือ คุณสามารถใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ระหว่างที่ขับรถอยู่บนทางด่วน มีระบบเซนเซอร์ที่ช่วยให้รถเคลื่อนที่ตรงตามเส้นทาง และเว้นระยะจากวัตถุต่างๆ ได้แม่นยำ 
 
อย่างไรก็ดี สิ่งที่จะทำให้ Apple Car โดดเด่นกว่าคู่แข่ง (ตามที่บริษัทคาดไว้) ก็คือ onboard computer system ที่ชื่อ ‘Denali’ ซึ่งมีประสิทธิภาพการประมวลผลเทียบเท่ากับชิปตัวท็อปที่ทรงพลังที่สุดของ Mac 4 ชิปรวมกัน! 
 

อุปสรรคที่ทำให้ Apple และรถยนต์ไร้คนขับอื่นๆ ยังไปไม่ถึงฝั่งฝันคืออะไร

Apple พยายามสร้าง ‘รถขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบคันแรกของโลก’ ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยพวงมาลัยรถ ที่เหยียบเบรก หรือแม้แต่คันเร่ง แต่ทีมวิศวกรที่รับผิดชอบโปรเจกต์นี้มองว่าแนวคิดดังกล่าวเป็นไปไม่ได้แล้วด้วยข้อจำกัดทางเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบัน ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาวิศวกรคนสำคัญยังลาออกหรือไม่ก็ถูกบริษัทชั้นนำแห่งวงการยานยนต์ซื้อตัวไปอีกหลายราย 
ในความเป็นจริง การพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติขั้นสมบูรณ์หรือเต็มรูปแบบนั้น (fully autonomous) ยังเป็นที่ถกเถียงและอยู่ในระหว่างการทดสอบกันอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ Tesla ที่ปล่อยรุ่น Beta ออกมาในปี 2020 โดยอ้างว่ามีฟีเจอร์ ‘ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ’ ก็ทำให้หลายๆ คนเข้าใจผิดกัน จนกลายเป็นคดีความในชั้นศาล เนื่องจากมีเหตุทำให้คนเสียชีวิต 
 
ปัจจุบันค่ายพัฒนารถยนต์จึงหันมาพัฒนาระบบผู้ช่วยอัจฉริยะขั้นสูง (advanced driver-assistance system) แทนรถยนต์อัตโนมัติ เพราะเทคโนโลยียังพัฒนาไปไม่ถึงจุดนั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Argo AI สตาร์ทอัพรถยนต์ไร้คนขับมาแรงที่ได้รับการสนับสนุนจาก Ford และ Volkswagen ได้ปิดตัวลงไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ส่วน Ford หันมาพัฒนาเทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยเสริมการขับขี่อย่างชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น 
 

แล้วเราจะได้เห็นโฉมหน้าของรถยนต์คันแรกของ Apple กันเมื่อไร?  

บริษัทวางแผนว่าจะเปิดตัวสมาร์ทคาร์ปี 2026 โดยปรับราคาลงไม่เกิน 100,000 จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ประมาณ 120,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการปรับสเกลนี้จะทำให้รถยนต์ของ Apple อยู่ในแรงค์เดียวกับรถสปอร์ตอย่าง Porsche และลักชูรีคาร์อย่าง Mercedes เพื่อแข่งขันในตลาดได้ 
 
คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ใครจะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ เพราะยังมีฝั่งบริษัทจีนที่ซุ่มพัฒนารถอัจฉริยะและรถยนต์ไร้คนขับอยู่เช่นกัน แต่แน่นอนว่าศึกนี้ต้องมองเป็นเกมยาว 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์