เจ้าสัว อั้งยี่ และคาสิโน มาเก๊าบนถนนที่ปูด้วยเงินพนัน

16 มกราคม 2566 - 09:38

Business-billionaires-gansters-casino-macau-as-gambling-universe-part-one-SPACEBAR-Thumbnail
  • ประวัติศาสตร์ของธุรกิจการพนันในมาเก๊า ตั้งแต่ยุคบ่อนจนถึงคาสิโน

  • เจาะชีวิตและวิถีการลงทุนของราชาแห่งการพนัน สแตนลีย์ โฮ

ประวัติศาสตร์ของมาเก๊าพัวพันกับธุรกิจสีเทาๆ มาตั้งแต่เริ่มต้น ตอนแรกมันเป็นแค่หมู่บ้านประมงเล็กๆ มุมหนึ่งของอาณาจักรหมิงที่ยิ่งใหญ่ จนกระทั่งในศตวรรษที่ 16 ชาวโปรตุเกสเดินเรือมาถึงและมองเห็นทำเลทองที่จะตั้งสถานีค้าขายและท่าเรือ พวกเขาจึงติดสินบนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อขอเช่าพื้นที่นี้ และปั้นมันขึ้นมาจนกลายเป็นศูนย์กลางการเดินเรือของโลก  

ความรุ่งเรืองของมาเก๊าเริ่มต้นจากการติดสินบนแบบนี้ จนกระทั่งมันถูกแทนที่ด้วยฮ่องกงที่อังกฤษได้มาครองจากจีนในศตวรรษที่ 19 มาเก๊าก็เสื่อมความนิยมลง เพราะท่าเรือของฮ่องกงสะดวกและมีน้ำลึกกว่า นับจากช่วงนี้มาเก๊าจะกลายสภาพเป็นหมู่บ้านประมงอีกครั้ง ที่ซึ่งประชากร  70% ยังชีพด้วยการจับปลา 

เส้นทางสู่ธุรกิจพนัน

แต่การประมงทำรายได้ให้กับรัฐบาลน้อยมาก และมาเก๊าก็ไม่มีความสามารถอื่นที่จะหาเงินได้มากกว่านี้ ในศตวรรษที่ 19 รัฐบาลจึงอนุญาตให้การพนันเป็นเรื่องไม่ผิดกฎหมาย เพื่อที่จะเก็บภาษีจากการพนัน แต่ถึงจะมีช่องทางสร้างรายได้ รัฐบาลก็ยังทำแบบขอไปที ทำได้แค่เก็บภาษีเล็กๆ จากคนท้องถิ่นที่ชอบเล่น ‘โป’ (การพนันแบบดั้งเดิมของจีนและในนักพนันในไทยก็ยังนิยมเล่นกัน) 

การพนันเป็นธุรกิจที่ดูดทรัพย์ได้ง่ายที่สุด ง่ายจนเหมือนเป็นการปล้นอย่างถูกกฎหมายและด้วยความสมยอมของเจ้าของทรัพย์ ขอเพียงแค่ ‘จัดการ’ ให้ถูกวิธี การพนันก็สามารถกลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ และนำเงินเข้ารัฐได้อย่างมหาศาล 

และคนที่เข้ามาช่วยจัดการให้มาเก๊า คือชายที่ชื่อ สแตนลีย์  โฮ (Stanley Ho) ผู้ที่ต่อมาจะได้รับฉายาว่า ‘ราชาแห่งการพนัน’ (โต่วอ๋อง) อีกคนหนึ่งแห่งมาเก๊า  

มาเก๊าเป็นดินแดนแห่งนักเดิมพันจริงๆ ราชาแห่งการพนัน ที่ประกอบไปด้วยคนจากหลากหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็น ราชาแห่งการพนันคาสิโนยุคใหม่ (สแตนลีย์ โฮ), ราชาแห่งการพนันที่เป็นนักพนันมือทอง (ยิป ฮอน) และราชาพนันบ่อนยุคเก่า (ฝู่โล่วหยง)  

ในบรรดาราชาพนันแห่งมาเก๊าเหล่านี้ คนภายนอกรู้จักชื่อของ สแตนลีย์ โฮ มากที่สุด อาจเป็นเพราะเขายังเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดคนหนึ่งของเอเชียด้วย  

ข้อมูลชีวิตของ สแตนลีย์ โฮ หรือในชื่อจีนว่า เหอหงเซิน เป็นสิ่งที่คนทั่วไปรับรู้กันพอสมควรแล้ว แต่สิ่งที่หลายอาจไม่รู้ก็คือ เขาทำอย่างไรถึงพลิกชะตาของมาเก๊าจากเมืองที่ไร้อนาคต กลายเป็น ‘เมืองหลวงแห่งการพนันของโลก’ ที่เฟื่องฟูสุดๆ ได้? 

ธุรกิจคาสิโนสร้างชาติ

นั่นเพราะ สแตนลีย์  โฮ ไม่ใช่คนเดียวที่เปลี่ยนมาเก๊าให้เป็นสวรรค์แห่งการพนัน (และนรกของคนเล่นเสีย) เขาแท็กทีมกับตัวเก๋าๆ ในวงการธุรกิจและการพนันร่วใกันประมูลสัมปทานจากรัฐบาลมาเก๊า จนโค่นเจ้าของสัมปทานเดิมคือ ‘ตระกูลฟู่’ ลงได้สำเร็จ  

การทำธุรกิจพนันของตระกูลฟู่และเจ้าพ่อบ่อนคนอื่นๆ ในมาเก๊าเวลานั้นเป็นการพนันในสไตล์จีนที่โบร่ำโบราณที่ ‘พวกกุ๊ย’ นิยมเล่นกันและมีภาพลักษณ์ที่ทำให้คนเล่นเป็น ‘พวกผีพนัน’ ไม่ใช่นักพนันที่มีคลาส แม้ว่าจะพยายามปรับภาพลักษณ์ให้ดูมีคลาส เช่น มีการแสดงงิ้ว มีบริการผลไม้เป็นของว่าง และบริการซื้อตั๋วเรือข้ามมาที่บ่อนเพื่อเอาใจนักพนัน แต่มันก็ยังเป็นบ่อนแบบจีนๆ อยู่นั่นเอง 

แม้ต่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกือบทุกดินแดนในเอเชียตะวันออกถูกญี่ปุ่นรุกราน แต่มาเก๊ากลับถูกละเว้น ทำให้มีผู้มีอันจะกินและไม่มีอันจะกินมากมายแห่มาลี้ภัยที่นี่ ซึ่งมันควรจะเป็นโอกาสทองของวงการบ่อน แต่เพราะบ่อนพวกนี้ยังขาดจินตนาการในการทำธุรกิจ ทำให้มาเก๊าขาด ‘ความบันเทิงแบบครบวงจร’ มีแต่บ่อนที่เอาไว้แทงแบบเอาเป็นเอาตาย แต่เอาไว้ใช้พักผ่อนหย่อนใจไม่ได้ 

แต่ สแตนลีย์ โฮ ไม่ทำแบบนั้น พวกเขาตั้งบริษัทที่ชื่อ STDM ที่ริเริ่มนำการพนันแบบตะวันตกเข้ามาในมาเก๊า นั่นเป็นการปฏิวัติทั้งวิธีการเล่นพนัน ที่เลิกการทอยลูกเต๋าแบบจีนเป็นหลัก มาเล่นเกมพนันที่หลากหลาย ชื่อของกลุ่มทุน STDM ยังไม่ได้สะท้อนถึงการพนัน แต่มันมีความหมายว่า ‘บริษัท การท่องเที่ยวและความบันเทิงแห่งมาเก๊า จำกัด’ 

ดังนั้น เป้าหมายของ STDM ไม่ใช่นักเสี่ยงโชคท้องถิ่นอีกต่อไป แต่เป็นคนภายนอกมาเก๊า โดยเฉพาะจากดินแดนที่การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เช่น ฮ่องกงที่อยู่ใกล้ๆ กัน ด้วยความที่ STDM มีทั้งการพนันในคาสิโนและรับพนันเกมการแข่งขันด้วย ทำให้ถูกใจคนฮ่องกงที่ชอบแทงผลฟุตบอล และด้วยความที่ STDM เหมาการพนันทุกรูปแบบมาไว้ในมือ ทำให้พวกเขาตอบสนองทุกความต้องการได้มาก และหมายความว่าเงินที่ไหลเข้าพวกเขาและมาเก๊าก็มากมายมหาศาลไปด้วย

จุดสำคัญก็คือ มาเก๊าเหมาการพนันเอาไว้รองรับนักพนันที่เล่นในบ้านตัวเองไม่ได้ ในยุคแรกคือชาวฮ่องกง ต่อมาคือชาวโลกทั้งหลาย และในท้ายที่สุดคือชาวจีนรวยๆ ในยุคหลังเปิดประเทศแล้ว 

ธุรกิจเดิมพันที่ผู้มีชีวิตเป็นเดิมพัน

นี่คือจุดเริ่มต้นของการผูกขาดสัมปทานธุรกิจการพนันของมาเก๊าโดย STDM ที่จะเปลี่ยนจากความเป็น ‘บ่อนจีนๆ’ ไปสู่ ‘คาสิโนฝรั่ง’ และเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าจาก ‘ผีพนัน’ มาเป็น ‘นักพนัน’ แม้ว่าเอาเข้าจริงการพนันจะไม่มีชนชั้น มีแต่ได้กับเสีย แต่การทำแบรนดิ้งตัวเองและลูกค้าแบบใหม่ ทำให้มาเก๊ามีสถานะมากกว่าความเป็นบ่อน แต่เป็นดินแดนแห่ง Entertainment complex  

ดังนั้นการนิยามตัวเองให้ชัดจึงมีผลต่อการเก็บเกี่ยวความมั่งคั่งได้เหมือนกัน 

นี่คือจุดแข็งของ STDM พวกเขารู้ว่ามาเก๊ามีศักยภาพอะไรและขาดอะไรไปในการผูกขาดธุรกิจพนันโดยเจ้าพ่อกลุ่มแรก แต่จุดแข็งอีกอย่างของ STDM เต็มไปด้วยคนที่กล้าเสี่ยงดวง เรามี ยิปฮอน ที่เป็นนักพนันมืออาชีพระดับเซียน และมี สแตนลีย์ โฮ ที่ไมใช่เซียนพนัน แต่ในยุคนั้นเขาเป็นชายหนุ่มที่หลงไหลการเดิมพันทางธุรกิจ 

ก่อนที่จะปั้นมาเก๊าจนเป็นจักรวาลแห่งคาสิโน สแตนลีย์ โฮ เคยเดิมพันกับการทำคาสิโนมาแล้วในบางที่ เช่น ที่อิหร่านนยุคของพระเจ้าชาห์ เขาได้รับสัมปทานทำสนามม้าแข่งเป็นเวลา 25 ปี แต่ทำไปได้แค่ 6 ปีก็ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้าน เพราะอิหร่านเกิดการปฏิวัติอิสลามโค่นล้มรัฐบาลพระเจ้าชาห์ 

ต่อมาเขาได้สัมปทานเปิดตคาสิโนที่เมืองดิลี ดินแดนติมอร์เลสเต ซึ่งขณะนั้นยังเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส แต่ไม่กี่ปีต่อมาก็ต้องเผ่นออกมา เพราะอินโดนีเซียรุกรานติมอร์เลสเต เขายังได้สัมปทานเปิดคาสิโนที่เมืองการาจี ประเทศปากีสถาน แต่ก็เดิมพันล้มเหลวอีกเพราะเกิดการยึดอำนาจในปากีสถาน  

เขาแทงผิดแบบนี้หลายต่อหลาครั้ง หากเป็นคนอื่นคงหมอบไปแล้ว แต่คนอย่าง สแตนลีย์ โฮ มีแต่สู้ และเขาชนะในที่สุดเมื่อ STDM กลายเป็นห่านไข่ทองคำของมาเก๊า 

แต่ความสำเร็จที่มาเก๊าก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาง่ายๆ เพราะแม้พวกเขาจะได้สัมปทานจากรัฐบาล แต่การเอาตัวรอดในดินแดนที่แก๊งอาชญากรรมใต้ดินสามารถชี้เป็นชี้ตายใครก็ได้ คนที่ทำคาสิโนในมาเก๊าจึงต้องเป็นอะไรที่มากกว่านักธุรกิจ พวกเขาจะต้องอยู่ในโลกสองใบที่คาบเกี่ยวระหว่างโลกที่เจิดจ้าเบื้องบน และโลกสีเทาที่อยู่เบื้องล่าง 

โปรดติดตามตอนต่อไป 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์