ทำไมแรงและทำไมถึงแพง? บางเรื่องที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับ Bentley

12 มกราคม 2566 - 09:25

Business-things-you-might-not-know-about-Bentley-SPACEBAR-Hero
  • สิ่งที่ทำให้ Bentley โดดเด่น คือวัสดุที่หรูหราและทนทาน ที่สำคัญคือความแรงของเครื่องยนต์

  • Bentley Continental GT ออกทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.6 วินาที

1. Bentley ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1919 โดยสองพี่น้องตระกูล Bentley ในยุคแรกมันเป็นรถสปอร์ตเรซซิ่งที่เน้นการขับขี่เพื่อชิงความเป็นเจ้าในการแข่งรถยนต์กรังปรีซ์สนามต่างๆ และมีชื่อเสียงขึ้นมาจากการเป็นแชมป์การ 4 Heures du Mans ซึ่งเป็นการแข่งรถที่ประชันทั้งความเร็ว และความอึดเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ที่เมืองเลอม็อง ประเทศฝรั่งเศส รถสปอร์ตของ Bentley ชิงความเป็นเจ้าสนามมาได้ถึง 5 สมัย และมีช่วงหนึ่งได้แชมป์ 4 ปีติดต่อกัน คือ 1924, 1927, 1928, 1929 และ 1930  

2. แต่การพัฒนารถเพื่อเน้นแข่งต้องอาศัยทุนมหาศาล ตอนแรก  Bentley โชคดีที่มีกลุ่มแฟนคลับที่ Bentley Boys ที่หลงไหลในความเร็วของรถแข่งค่ายนี้ หนึ่งในนั้นคึอ วูลฟ์ บาร์นาโต (Woolf Barnato) นักการเงินและแฟนรถแข่งตัวยง บาร์นาโต คอยประคองการเงินของ Bentley มาโดยตลอด จนกระทั่งทั่วโลกเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาครั้งใหญ่ (Great Depression) ในปี 1929 บาร์นาโต แบกมันต่อไม่ไหวเพราะหนี้ก้อนใหญ่เกินไป ในปีถัดมา  Bentley จึงต้องตกเป็นของ Rolls-Royce ค่ายรถยนต์อังกฤษที่เน้นรถหรูและยืนหยัดเอาตัวรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจมาได้ 

3. ภายใต้ร่มเงาของ Rolls-Royce รถของ Bentley ยังสามารถรักษาอัตลักษณ์ของตัวเองเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง นั่นคือสปอร์ตคาร์ชั้นนำ แต่ก็ใช้แชสซีหรือโครงด้านล่างของรถและเครื่องยนต์ของ  Rolls-Royce แล้วโฆษณาว่าเป็น ‘the silent sports car’ หรือ รถสปอร์ตที่ไร้เสียงคำราม แม้ว่าบางคนจะไม่ค่อยพอใจกับการรวมร่างครั้งนี้ก็ตาม แต่ Bentley ก็อยู่กับ Rolls-Royce มาเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นอีกครั้งที่พวกเขาเจอกับมรสุมทางการเงิน เมื่อ Rolls-Royce ขาดทุนหนักจนต้องขายธุรกิจในส่วนยานยนต์ให้กับ Vickers บริษัทวิศวกรรมเครื่องยนต์ (และอดีตผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ของอังกฤษ) ในปี 1980 ภายใต้การบริหารของ Vickers ภาพลักษณ์สปอร์ตคาร์ของ Bentley ก็หวนคืนมาอีกครั้ง  

4. และเป็นอีกครั้งที่ Bentley เปลี่ยนเจ้าของในปี 1998 โดยมาอยู่ในมือของ Volkswagen ค่ายรถยนต์ชั้นนำนของเยอรมนี และในยุคนี้เองที่ Bentley คืนชีพขึ้นมาอย่างเต็มตัวเพราะการลงทุนแบบไม่อั้นของเจ้าของใหม่ การคืนชีพครั้งนี้สั่นสะเทือนวงการเอามากๆ ขนาดที่ว่า ความต้องการมีมากเสียจนโรงงานไม่สามารถผลิตตามคำสั่งซื้อได้ แม้ว่าจะมีกำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 9,500 คันต่อปีก็ตาม จนคนที่จะซื้อต้องลงทะเบียนรอคิวกันข้ามปี แม้จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ยอดขายตกฮวบและขาดทุนด้านการผลิต แต่แบรนด์นี้ก็ยังปรับตัวได้เรื่อยๆ จนยอดขายกระเตื้องขึ้นในระยะหลัง และยังเริ่มบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว  

5. มาถึงคำถามสำคัญ ทำไม Bentley ถึงแพง? ตอบสั้นๆ ก็คือ "ประกอบด้วยมือ" และ "ใช้วัสดุคุณภาพสูง" วัสดุระดับท็ปที่ราคาไม่เบาพวกนี้ช่วยทำให้รถของ Bentley มีน้ำหนักเบาแต่มั่นคง เช่น โครงสร้างของรถทำจากอลูมิเนียมผสมเหล็กกล้า มันมีความทนสูงแต่ก็เบากกว่าโครงสร้างเหล็กกล้าทั้งหมดถึง 85 กิโลกรัม นั่นเป็นส่วนของโครงสร้าง แต่สิ่งที่ทำให้มันแพงด้วยและดูแพงด้วยคือภายใน เช่น แผงหน้าปัดทำจากไม้ราคาแพงจากทั่วโลก บางรุ่นพรีเมี่ยมเข้าไปอีก อย่าง XP 100 GT ขอบไม้ที่ประตูรถใช้ไม้โอ๊คอายุถึง 5,000 ปีที่กู้ขึ้นมาจากหนองน้ำในแคว้นอ็อกซ์ฟอร์ดเชอร์ ส่วนราคาไม่ต้องพูดถึง เพราะอยู่ที่ 1.9 ล้านดอลลาร์  

6. แต่ Bentley ไม่ได้มีดีแค่สวยกับใช้ของคุณภาพเยี่ยมแน่ๆ เพราะชื่อเสียงตั้งแต่แรกของแบรนด์มาจากเครื่องยนต์ที่แรงจัดแบบรถแข่ง และต่อมาใช้เครื่องยนต์ V8 อันทรงพลังของ Rolls-Royce ซึ่งใช้กันมานานกว่าครึ่งศตวรรษ แต่มันยังแรงไม่พอเพราะเมื่อถึงยุคของ Volkswagen มันใช้เครื่องยนต์ W12 ที่ทรงพลังมาก หนึ่งในรถที่เร็วที่สุดบนท้องถนน คือ Continental GT Speed ความแรง 650 แรงม้า ทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 208 ไมล์ต่อชั่วโมง ในขณะที่ Bentley Continental GT มีสมรรถนะ 650 แรงม้า ออกทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.6 วินาที 

7. หนึ่งใน ‘ลูกค้า’ คนสำคัญคือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ค่ายรถได้ผลิตรถรุ่นพิเศษ 2 คันและได้ถวาย Bentley State Limousines ในพระราชพิธีกาญจนาภิเษกในปี 2002 และจะทรงประทับในงานทางการ  และแม้แต่เวลาทรี่เสด็จไปต่างประเทศก็ยังจะทรงใช้รถหลวง Bentley บ่งบอกได้ถึงความไว้วางพระทัยในรถของค่ายนี้ รถหลวง Bentley มีเพียง 2 คันเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้น ทำให้หายากยิ่งกว่า Rolls-Royce Phantom IV ซึ่งมีเพียง 18 คันเท่านั้นที่สร้างขึ้นสำหรับราชวงศ์และประมุขแห่งรัฐ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงใช้รถนี้จนกระทั่งสวรรคตในปี 2022 ปัจจุบันมันถูกเก็บไว้ที่โรงม้าหลวง (Royal Mews) 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์