เปิดทำเลตลาดที่อยู่อาศัยสุดฮิต ในเขตกรุงเทพฯ - ปริมณฑล

23 มี.ค. 2566 - 05:58

  • สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ไตรมาส 4/65 โครงการใหม่เข้าตลาดเพิ่ม 15.5%

  • ภาพรวมยอดเหลือขายแตะ 9.1 แสนล้านบาท

Economy-Property-Money-Land-SPACEBAR-Hero
สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 4  ปี 2565 ของ กรุงเทพฯและปริมณฑล มีการเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3 โดยมีปัจจัยบวกจากมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยที่ไม่เกิน 3 ล้านบาท และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ได้ส่งผลให้ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2565 โดยมีการขยายตัวของอุปทานโครงการที่อยู่อาศัยที่มีการเสนอขายเปิดขายใหม่ 205,806 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 โดยเกิดจากอุปทานเปิดตัวใหม่จำนวน 27,759 หน่วย เพิ่มร้อยละ 15.5 ขณะที่อุปสงค์ที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่มีจำนวน 21,282 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้อัตราดูดซับทุกระดับราคายังคงทรงตัวต่อเนื่องจากช่วงไตรมาส 3 เนื่องจากสินค้าขายได้ใหม่มีอัตราการเพิ่มขึ้นน้อยกว่าสินค้าใหม่ที่เข้ามาในตลาดและมีผลให้ที่อยู่อาศัยเหลือขายมีจำนวนถึง 184,524 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8  มูลค่าสูงถึง 916,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 

ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ด้านอุปทาน มีจำนวนอุปทานเสนอขาย ณ ช่วงไตรมาส 4 ปี 2565 รวมทั้งสิ้น 205,806 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 มูลค่า 1,034,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0  แบ่งเป็นอาคารชุด  76,930 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 มูลค่า 322,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 โครงการบ้านจัดสรร 128,876 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 มูลค่า 711,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า  

ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จำนวน  27,759 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5  มูลค่า 160,877 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.6  แบ่งเป็นโครงการอาคารชุด 13,431 หน่วย  เพิ่มขึ้นร้อยละ 78.5  มูลค่า 45,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 130.3  โครงการบ้านจัดสรร 14,328 หน่วย ลดลงร้อยละ -13.2  มูลค่า 115,586 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -9.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า 

ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2565 ทำเลที่มีหน่วยเปิดขายใหม่สูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย 
  1. ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 5,092 หน่วย มูลค่า 29,644 ล้านบาท 
  2. ทำเลราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทอง จำนวน 2,831 หน่วย มูลค่า 12,635 ล้านบาท 
  3. ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 2,421 หน่วย มูลค่า 17,247 ล้านบาท 
  4. ทำเลธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด จำนวน 2,160 หน่วย มูลค่า 7,723 ล้านบาท  
  5. ทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 1,551 หน่วย 7,319 ล้านบาท 
ทำเลที่มีหน่วยขายได้ใหม่สูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย  
  1. ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 3,600 หน่วย มูลค่า 19,651 ล้านบาท  
  2. ทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ จำนวน 1,852 หน่วย มูลค่า 7,257 ล้านบาท 
  3. ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 1,793 หน่วย มูลค่า 11,249 ล้านบาท  
  4. ทำเลหลักสี่-ดอนเมือง-สายไหม-บางเขน จำนวน 1,178 หน่วย มูลค่า 7,846 ล้านบาท และ 
  5. ทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 1,127 หน่วย มูลค่า 5,433 ล้านบาท 
โครงการอาคารชุดทำเลขายได้ใหม่สูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย  
  1. ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 1,350 หน่วย มูลค่า 3,641 ล้านบาท  
  2. ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 1,339 หน่วย มูลค่า 4,724 ล้านบาท 
  3. ห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวน 1,031 หน่วย มูลค่า 3,954 ล้านบาท  
  4. ทำเลสุขุมวิท จำนวน 970 หน่วย มูลค่า 7,256 ล้านบาท  
  5. ทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ จำนวน 617 หน่วย มูลค่า 1,795 ล้านบาท 
โครงการบ้านจัดสรรทำเลขายได้ใหม่สูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย  
  1. ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 2261 หน่วย มูลค่า 14,927 ล้านบาท   
  2. ทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ จำนวน 1,235 หน่วย มูลค่า 5,462 ล้านบาท  
  3. ทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 1,063 หน่วย มูลค่า 5,348 ล้านบาท  
  4. ทำเลคลองสามวา-มีนบุรี-ลาดกระบัง จำนวน 954 หน่วย มูลค่า 6,718 ล้านบาท  
  5. ทำเลลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 895 หน่วย มูลค่า 3,500 ล้านบาท 
ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย  
  1. ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 18,964 หน่วย มูลค่า 106,926 ล้านบาท  
  2. ทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 17,621 หน่วย มูลค่า 80,250 ล้านบาท 
  3. ทำเลลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 14,376 หน่วย มูลค่า 52,780 ล้านบาท  
  4. ทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ จำนวน 13,599 หน่วย มูลค่า 44,503 ล้านบาท 
  5. ทำเลเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 12,241 หน่วย มูลค่า 44,209 ล้านบาท 
โครงการอาคารชุดทำเล มีหน่วยเหลือขายสูงสุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย  
  1. ทำเลห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง จำนวน 8,372 หน่วย มูลค่า 33,578 ล้านบาท  
  2. ทำเลธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางใหญ่-บางพลัด จำนวน 7,979 หน่วย มูลค่า 25,525 ล้านบาท  
  3. ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ จำนวน 7,295 หน่วย มูลค่า 21,253 ล้านบาท  
  4. ทำเลนนทบุรี-ปากเกร็ด จำนวน 6,426 หน่วย มูลค่า 15,128 ล้านบาท 
  5. ทำเลสุขุมวิท จำนวน 6,232 หน่วย มูลค่า 55,204 ล้านบาท  
โครงการบ้านจัดสรรทำเลที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย  
  1. ทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย จำนวน 16,920 หน่วย มูลค่า 79,296 ล้านบาท 
  2. ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จำนวน 16,829 หน่วย มูลค่า 696,439 ล้านบาท 
  3. ทำเลลำลูกกา-ธัญบุรี จำนวน 13,819 หน่วย มูลค่า 52,244 ล้านบาท 
  4. ทำเลเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก จำนวน 10,444 หน่วย มูลค่า 41,770 ล้านบาท  
  5. ทำเลคลองหลวง-หนองเสือ จำนวน 10,434 มูลค่า 38,904 ล้านบาท

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์