พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เผยผลประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เห็นชอบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชนตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 13 กันยายน 2566
โดยให้คงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น LPG ที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ต่อไปอีก 3 เดือน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566
พีระพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชนตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) บริหารราคาขายปลีกก๊าซ LPG ผ่านกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป
โดยให้คงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น LPG ที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ต่อไปอีก 3 เดือน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566
พีระพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชนตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) บริหารราคาขายปลีกก๊าซ LPG ผ่านกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป
ที่ประชุม กบง. ยังเห็นชอบให้คงสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันกลุ่มดีเซลหมุนเร็ว ให้เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี7 ต่อไปอีก 3 เดือน ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ออกประกาศ ธพ. เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. 2566 ให้สอดคล้องกับการกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานประสานฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) นำเสนอการกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล
ทั้งนี้ กบง. อาจมีการทบทวนสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันกลุ่มดีเซลหมุนเร็วให้มีความเหมาะสม หากสถานการณ์น้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศปรับลดลง และสต็อกน้ำมันปาล์มดิบมีแนวโน้มสูงขึ้นภายหลัง
ทั้งนี้ กบง. อาจมีการทบทวนสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันกลุ่มดีเซลหมุนเร็วให้มีความเหมาะสม หากสถานการณ์น้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศปรับลดลง และสต็อกน้ำมันปาล์มดิบมีแนวโน้มสูงขึ้นภายหลัง