พลังงานเซ็น PSC PTTEP-เชฟรอน แบ่งปันผลผลิตฯ

กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ลงนามสัญญาแบ่งปันผลผลิตกับบริษัทผู้ได้รับสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในทะเลอ่าวไทย ครั้งที่ 24 ภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต จำนวน 3 แปลง รวมขนาดพื้นที่กว่า 30,000 ตารางกิโลเมตร 

สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เผย ตามนโยบายเพิ่มศักยภาพการผลิตพลังงานของประเทศเท่าที่จะมากได้ แต่ประเทศไทย ไม่ได้เปิดให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมพื้นที่ใหม่ มาเป็นเวลา 16 ปีแล้ว การเปิดให้สิทธิฯ ครั้งที่ 24 จำนวน 3 แปลง และได้ 2 บริษัท คือบริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (ปตท.สผ.อีดี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) และบริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ได้รับสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566 ที่ได้อนุมัติแล้วนั้น ถือเป็นเรื่องดี ที่จะสร้างความมั่นคงทางพลังงานระยะยาว

เชื่อมั่น ความเชี่ยวชาญการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมของทั้งสองบริษัท จะทำให้ประเทศไทย ลดความผันผวนจากการต้องพึ่งพาการนำเข้า ทำให้ไทย มีเสถียรภาพด้านพลังงาน ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้พลังงานประเทศ โดยเฉพาะในช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังไม่จบ คาดหวังว่าจะทำให้ไทยพึ่งพาการนำเข้าพลังงานราคาสูง ‘น้อยลง’ 

ด้าน สราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ชี้ 3 แปลงดังกล่าว ประกอบด้วย G1/65, G2/65 และ G3/65 โดยที่ ปตท.สผ.ดีอี เป็นผู้ได้รับสิทธิเป็นผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/65 และ G3/65 ขนาดพื้นที่รวม 20,133.87 ตารางกิโลเมตร และบริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ เป็นผู้ได้รับสิทธิฯ แปลงสำรวจฯ หมายเลข G2/65 ขนาดพื้นที่ 15,030.14 ตารางกิโลเมตร 

ทั้งสองบริษัท ได้สิทธิฯ สำรวจปิโตรเลียมเป็นระยะเวลา 6 ปี ก่อให้เกิดการลงทุนสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมภายในประเทศเป็นเงินไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท รวมทั้งได้รับผลประโยชน์พิเศษในรูปแบบของค่าตอบแทนการลงนาม เงินอุดหนุนเพื่อการพัฒนาปิโตรเลียมในประเทศไทย และอื่น ๆ เป็นเงินประมาณ 640 ล้านบาท และหากสามารถพัฒนาและผลิตปิโตรเลียมได้ในเชิงพาณิชย์ ในแปลงสำรวจปิโตรเลียมดังกล่าวก็จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่รัฐในรูปแบบของค่าภาคหลวง ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และส่วนแบ่งปิโตรเลียมที่เป็นกำไรด้วย 

ด้าน มนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท.สผ. กล่าวย้ำ มีความพร้อมที่จะสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมทั้ง 2 แปลง ด้วยองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญที่สะสมมาตลอด 38 ปี โดยทั้ง 2 แปลงอยู่ใกล้กับโครงการของแปลงสำรวจ G1/61 และ G2/61 ที่ ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการอยู่แล้ว ทำให้สามารถพัฒนาโครงการได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นแหล่งพลังงานในการพัฒนาเศรษฐกิจและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยในระยะยาว 

เช่นเดียวกับ รณรงค์ ชาญเลขา ผู้จัดการใหญ่ เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) บอกด้วยว่า เชฟรอน พร้อมที่จะทำงานร่วมกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ในการพัฒนาแปลงสำรวจหมายเลข G2/65 อย่างมีประสิทธิภาพ เชฟรอนมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และแนวทางปฏิบัติงานมาตรฐานระดับโลก เพื่อส่งมอบพลังงานที่สะอาดขึ้น อย่างปลอดภัย และเชื่อถือได้ ให้กับประเทศไทย เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงาน ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำในระยะยาวต่อไป 

สำหรับการเปิดสำรวจและผลิตฯ ครั้งนี้ ทุกฝ่ายยังเชื่อมั่น มีความเป็นไปได้ ที่จะสำรวจพบปิโตรเลียมเพิ่มเติม ในพื้นที่ใกล้เคียงอีกด้วย