ธุรกิจเฉพาะ มีใครบ้าง และจ่ายภาษีอย่างไร
กล่าวได้ว่า ‘ภาษีธุรกิจเฉพาะ’ คือภาษีที่เก็บจากกิจการบางประเภทที่กฎหมาย ‘กำหนดเป็นพิเศษ’ แยกจากภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยกรมสรรพากรเป็นผู้จัดเก็บจากธุรกิจที่เป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล และผู้ประกอบการที่มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ ด้วยแบบคำขอ ภ.ธ.01 ภายใน 30 วัน นับแต่วันเริ่มกิจการ โดยที่ธุรกิจเฉพาะ คือประเภทกิจการที่ ประกอบด้วย
1. กิจการธนาคาร
2. การประกอบธุรกิจธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
3. การรับประกันชีวิต
4. การรับจำนำ
5. การประกอบการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ การให้กู้ยืมเงินค้ำประกัน แลกเปลี่ยนเงินตรา ออก ซื้อ หรือขายตั๋วเงิน หรือรับส่งเงินไปต่างประเทศด้วยวิธีต่างๆ
6. การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร
7. การซื้อและขายคืนหลักทรัพย์
8. การประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริ่ง เป็นธุรกิจที่ลูกค้าตกลงจะโอนหนี้ทางการค้า ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจแฟ็กเตอริ่ง โดยผู้ประกอบการธุรกิจแฟ็กเตอริ่งนั้น ตกลงจะให้สินเชื่อรวมถึง การรับที่จะดำเนินธุรกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ การบริหารลูกหนี้ การเรียกเก็บหนี้ เป็นต้น
ฐานและอัตราการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ
กรมสรรพากร กำหนดให้กิจการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จะต้องเสียภาษีโดยคำนวณจากฐานภาษี ซึ่งได้แก่ รายรับตามฐานภาษี ของแต่ละประเภทกิจการ คูณด้วยอัตราภาษีที่กำหนดไว้ และจะต้องเสียภาษีท้องถิ่นอีก ร้อยละ 10 ของจำนวนเงินภาษีธุรกิจเฉพาะที่คำนวณได้ โดยอัตราภาษีแสดงตามตารางดังต่อไปนี้
ขั้นตอนการบังคับใช้ ยาวนานแค่ไหน
ขณะนี้ ครม.อนุมัติร่างกฎหมายฉบับนี้ (ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ และกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ยกเลิกการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ) เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือ จะมีคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจร่างกฎหมายฉบับนี้ก่อน หากเรียบร้อยไม่ต้องแก้ไข-เปลี่ยนแปลงใดๆ ครม.ก็จะอนุมัติร่างกฎหมาย และเสนอลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งเมื่อลงประกาศฯ 90 วันแล้ว กฎหมายก็จะมีผลบังคับใช้ นั่นเอง
ลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ยังชี้ถึงการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะว่า จะแบ่งเป็น 2 ช่วง ในอัตรา ดังนี้
- ช่วงที่ 1 จัดเก็บในอัตราร้อยละ 0.05 (ร้อยละ 0.055 เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่น) ตั้งแต่วันที่ พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566
- ช่วงที่ 2 จัดเก็บในอัตราร้อยละ 0.1 (ร้อยละ 0.11 เมื่อรวมกับภาษีท้องถิ่น) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ยังคงการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แก่
1. ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เฉพาะการขายหลักทรัพย์ที่บุคคลนั้นได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องของหลักทรัพย์นั้น
2. สำนักงานประกันสังคม (กองทุนประกันสังคม)
3. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
4. กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
5. กองทุนการออมแห่งชาติ
6. กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
7. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
8. กองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมแก่สำนักงานประกันสังคมหรือกองทุนตามข้อ 3–7 เท่านั้น
ทั้งนี้ แม้ว่า กรณีการจัดเก็บภาษีจะเป็นเรื่องเชิงนโยบาย ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาประกาศใช้ แต่ยังมีขั้นตอนเสนอคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา และการประกาศราชกิจจาฯ ที่ต้องดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งระหว่างนี้ เรายังพบว่า มีความเห็นแย้งเกิดขึ้นในผู้รู้หลายส่วน ทั้งในมุมนักเศรษฐศาสตร์, โบรกเกอร์ กระทั่งถึงธนาคารแห่งประเทศไทย ที่อยู่ระหว่างจับตา-รอประเมินในทิศทางระยะต่อไปว่าจะกระทบ ‘เงินทุนเคลื่อนย้ายหรือไม่’ แต่ในแง่การเป็นนักลงทุน คงทำอะไรได้ไม่มากไปกว่า รอติดตาม ‘ตาปริบๆ’ กันต่อไป
ที่มา: กรมสรรพากร, กระทรวงการคลัง