พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อํานวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เผยว่า สนค. ได้ศึกษาสถานการณ์การค้าสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงในจีน พบว่า ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในจีนมีการเติบโตสูง เนื่องจากชาวจีนนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้น และยังมีค่าใช้จ่ายด้านสัตว์เลี้ยงต่อครัวเรือนค่อนข้างสูง
โดยในปี 2564 จีนนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขหรือแมว เป็นมูลค่ารวม 580.77 ล้านเหรียญสหรัฐ จากแหล่งนำเข้าสำคัญทั้ง แคนาดา (สัดส่วนร้อยละ 47.3 ของมูลค่าการนำเข้า) สหรัฐฯ (ร้อยละ 19.7) และนิวซีแลนด์ (ร้อยละ 13.0)
ส่วนประเทศไทย จัดอยู่ในอันดับการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยง อันดับ 4 หรือ ร้อยละ 11.1(ที่มา: trademap.org) ตลาดจีนจึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง ทั้งยังเป็น 1 ในแนวทางที่กระทรวงพาณิชย์ ผลักดันและส่งเสริมให้ไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง อันดับที่ 1 ของโลกด้วย
โดยในปี 2564 จีนนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขหรือแมว เป็นมูลค่ารวม 580.77 ล้านเหรียญสหรัฐ จากแหล่งนำเข้าสำคัญทั้ง แคนาดา (สัดส่วนร้อยละ 47.3 ของมูลค่าการนำเข้า) สหรัฐฯ (ร้อยละ 19.7) และนิวซีแลนด์ (ร้อยละ 13.0)
ส่วนประเทศไทย จัดอยู่ในอันดับการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยง อันดับ 4 หรือ ร้อยละ 11.1(ที่มา: trademap.org) ตลาดจีนจึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยในการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง ทั้งยังเป็น 1 ในแนวทางที่กระทรวงพาณิชย์ ผลักดันและส่งเสริมให้ไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง อันดับที่ 1 ของโลกด้วย

จากรายงานสถานการณ์การส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงจากสหรัฐฯ ไปจีน ของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) แสดงให้เห็นว่า ปี 2565 แคนาดาซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ที่สุดของจีน ประสบปัญหาไข้หวัดนกระบาด ทำให้จีนห้ามนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีส่วนผสมของสัตว์ปีกจากแคนาดา ส่งผลให้บริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ระดับโลก (อาทิ บริษัท Acana) ย้ายฐานการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีส่วนผสมของสัตว์ปีกจากแคนาดาไปประเทศอื่นๆ รวมทั้งย้ายฐานการผลิตไปยังสหรัฐฯ
นอกจากนี้ เมื่อปี 2563 สหรัฐฯ และจีน ได้ลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างกัน (U.S.-China Phase One Economic and Trade Agreement) โดยจีนผ่อนคลายข้อจำกัดการนำเข้า อาทิ ยกเลิกการทดสอบส่วนผสม (Ingredient Testing) และอนุญาตให้นำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงจากสหรัฐฯ ที่มีส่วนผสมของสัตว์ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศที่ 3 หากส่วนผสมได้นำเข้ามาในสหรัฐฯ อย่างถูกกฎหมาย ทำให้สหรัฐฯ ได้ประโยชน์จากข้อตกลงฯ
ทั้งนี้ จีนถือเป็นประเทศที่มีข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยง ผู้ส่งออกทุกรายต้องได้รับการประเมินและขึ้นทะเบียนผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง โรงงานผลิตอาหารสัตว์ต้องขึ้นทะเบียนกับสำนักงานศุลกากรของจีน (China’s General Administration of Customs: GACC) และผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงต้องผ่านการขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทของจีน (Ministry of Agriculture and Rural Affairs: MARA)
นอกจากนี้ เมื่อปี 2563 สหรัฐฯ และจีน ได้ลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างกัน (U.S.-China Phase One Economic and Trade Agreement) โดยจีนผ่อนคลายข้อจำกัดการนำเข้า อาทิ ยกเลิกการทดสอบส่วนผสม (Ingredient Testing) และอนุญาตให้นำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงจากสหรัฐฯ ที่มีส่วนผสมของสัตว์ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศที่ 3 หากส่วนผสมได้นำเข้ามาในสหรัฐฯ อย่างถูกกฎหมาย ทำให้สหรัฐฯ ได้ประโยชน์จากข้อตกลงฯ
ทั้งนี้ จีนถือเป็นประเทศที่มีข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยง ผู้ส่งออกทุกรายต้องได้รับการประเมินและขึ้นทะเบียนผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง โรงงานผลิตอาหารสัตว์ต้องขึ้นทะเบียนกับสำนักงานศุลกากรของจีน (China’s General Administration of Customs: GACC) และผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงต้องผ่านการขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทของจีน (Ministry of Agriculture and Rural Affairs: MARA)

แต่สำหรับประเทศไทย มีโรงงานผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง ที่ผ่านการขึ้นทะเบียนกับ GACC จำนวน 33 โรงงาน เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐฯ ที่มีจำนวน 88 โรงงาน (ข้อมูลล่าสุด เดือนตุลาคม 2565) และไทยมีจำนวนผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่ผ่านการขึ้นทะเบียนกับกระทรวงเกษตรฯ ของจีน เป็นอันดับ 4 รองจากสหรัฐฯ แคนาดา และนิวซีแลนด์
โดยสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขหรือแมวจากที่นำเข้าจากต่างประเทศที่ขึ้นทะเบียนใหม่และต่ออายุกับกระทรวงเกษตรฯ ของจีน ในปี 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 435 รายการ (Stock Keeping Unit: SKU) และเป็นสินค้าไทย 52 รายการ คิดเป็นร้อยละ 12 (ข้อมูลล่าสุด เดือนธันวาคม 2565)
แนวโน้มสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงในจีนมีการเติบโตอย่างมาก คาดว่าภายในปี 2565 จะมีจำนวนครัวเรือนที่เลี้ยงสัตว์เกิน 100 ล้านครัวเรือน โดยสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้าส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่มพรีเมียม ปัจจุบันชาวจีนมีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้มีกำลังซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น รวมกับการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุชาวจีนและค่านิยมการมีลูกคนเดียว ทำให้ชาวจีนนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น
สำหรับด้าน ‘ค่าใช้จ่ายครัวเรือนที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง’ ภายใต้สถานการณ์ล็อกดาวน์ช่วงโควิด-19 อยู่ที่ 2,041 หยวนต่อปี (ประมาณ 10,000 บาทต่อปี) และอีคอมเมิร์ซเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในจีนเติบโตอย่างมาก
โดย USDA ได้อ้างถึงรายงานตลาดอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงของจีน (China Pet Industry White Paper) ปี ค.ศ. 2022 ระบุว่า เจ้าของสัตว์เลี้ยงชาวจีนส่วนใหญ่ ร้อยละ 71 นิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยสินค้าที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเป็น 1 ใน 4 สินค้าที่ชาวจีนนิยมซื้อในเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ โดยเฉพาะเทศกาลวันคนโสด หรือ Double 11 (11.11) ที่มียอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงสูงถึง 1.909 พันล้านหยวน (273 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
โดยสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขหรือแมวจากที่นำเข้าจากต่างประเทศที่ขึ้นทะเบียนใหม่และต่ออายุกับกระทรวงเกษตรฯ ของจีน ในปี 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 435 รายการ (Stock Keeping Unit: SKU) และเป็นสินค้าไทย 52 รายการ คิดเป็นร้อยละ 12 (ข้อมูลล่าสุด เดือนธันวาคม 2565)
แนวโน้มสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงในจีนมีการเติบโตอย่างมาก คาดว่าภายในปี 2565 จะมีจำนวนครัวเรือนที่เลี้ยงสัตว์เกิน 100 ล้านครัวเรือน โดยสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้าส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่มพรีเมียม ปัจจุบันชาวจีนมีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้มีกำลังซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น รวมกับการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุชาวจีนและค่านิยมการมีลูกคนเดียว ทำให้ชาวจีนนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น
สำหรับด้าน ‘ค่าใช้จ่ายครัวเรือนที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง’ ภายใต้สถานการณ์ล็อกดาวน์ช่วงโควิด-19 อยู่ที่ 2,041 หยวนต่อปี (ประมาณ 10,000 บาทต่อปี) และอีคอมเมิร์ซเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในจีนเติบโตอย่างมาก
โดย USDA ได้อ้างถึงรายงานตลาดอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงของจีน (China Pet Industry White Paper) ปี ค.ศ. 2022 ระบุว่า เจ้าของสัตว์เลี้ยงชาวจีนส่วนใหญ่ ร้อยละ 71 นิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยสินค้าที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเป็น 1 ใน 4 สินค้าที่ชาวจีนนิยมซื้อในเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ โดยเฉพาะเทศกาลวันคนโสด หรือ Double 11 (11.11) ที่มียอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงสูงถึง 1.909 พันล้านหยวน (273 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ดังนั้น จีนเป็นตลาดสำหรับสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง ที่ไทยสามารถผลักดันการส่งออกเพิ่มขึ้น อาทิ ทำการตลาดและจำหน่ายสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งเป็นที่นิยมของจีน เจาะกลุ่มตลาดพรีเมียมด้วยคุณภาพของสินค้า โดยการวิจัยและพัฒนา (R&D) ด้านคุณค่าโภชนาการของอาหารสัตว์เลี้ยง ศึกษารสนิยม/พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงศึกษาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงของคู่แข่ง ทั้งจากผู้ผลิตจีน และผู้ส่งออกที่เป็นคู่แข่งในตลาดจีนอย่างแคนาดา สหรัฐฯ และนิวซีแลนด์ อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตต้องให้ความสำคัญกับมาตรฐานและความปลอดภัยของวัตถุดิบและสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง เพื่อให้ผู้ซื้อมีความเชื่อมั่นในสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงที่ผลิตจากประเทศไทย
ปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขหรือแมว อันดับที่ 3 ของโลก รองจากเยอรมนี และสหรัฐฯ ในปี 2565 ไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง เป็นมูลค่า 2,460.73 ล้านเหรียญสหรัฐ (85,211.16 ล้านบาท) ขยายตัวร้อยละ 18.6 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตลาดส่งออกสำคัญ คือ
ปัจจุบันไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขหรือแมว อันดับที่ 3 ของโลก รองจากเยอรมนี และสหรัฐฯ ในปี 2565 ไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง เป็นมูลค่า 2,460.73 ล้านเหรียญสหรัฐ (85,211.16 ล้านบาท) ขยายตัวร้อยละ 18.6 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตลาดส่งออกสำคัญ คือ
- สหรัฐฯ สัดส่วนร้อยละ 32.8 ของมูลค่าการส่งออก
- ญี่ปุ่น ร้อยละ 12.8
- อิตาลี ร้อยละ 6.8