นพ. สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (ประธาน กสทช.) กล่าวว่า กสทช. ร่วมกับทางกระทรวง สาธารณสุข (สธ.) เร่งดำเนินการโครงการ Telemedicine หรือ บริการการแพทย์ทางไกล เพื่อรองรับระบบดูแลสุขภาพทางไกลโดยใช้ 5G และระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เป็นเครื่องมือช่วยแพทย์ ในการรักษาผู้ป่วย เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิต ของคนไทยทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล หรือชายขอบ ที่มีปัญหาในการเดินทางเข้ามาใช้บริการ ยังโรงพยาบาลในพื้นที่ต่างๆ
“ตอนสมัครเป็น กสทช.ได้แสดงวิสัยทัศน์ในเรื่องแพทย์ทางไกล เมื่อได้รับเลือกแล้วจึง เป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ ตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการเข้ามาเป็น กสทช. จะสามารถผลักดันโครงการนี้ ได้ดีกว่าการ ไปอยู่ในตำแหน่งในหน่วยงานอื่น เพราะมีระยะเวลาทำงานยาวถึง 6 ปี โดยตอนนี้ได้มีคณะทำงานขึ้นมาทำงานแล้ว และกำลังเร่งทำงานในเรื่องนี้ โดย กสทช. จะเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ขับเคลื่อนในเรื่องนี้” นพ. สรณ กล่าว
นพ. สรณ กล่าวต่อว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คือ คนไทยทุกคนจะมีแพทย์ประจำตัว 1 คน ที่คอยให้คำปรึกษาเวลาเจ็บป่วย ซึ่งการรักษาและให้คำปรึกษาของแพทย์ในบางกลุ่มโรคไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่โรงพยาบาล หากใช้เทเลเมดิซีน ด้วยการวิดีโอคอล เพื่อให้เห็นหน้า พูดคุยถึงอาการ ก็สามารถวินิจฉัยพร้อมสั่งยา โดยที่คนไข้ไม่ต้องเดินทางมา และสามารถรอรับยาอยู่ที่บ้านได้ ซึ่งช่วยในการประหยัดเวลาและค่าเดินทางได้มาก โดยเฉพาะคนที่อยู่ในชนบทห่างไกล โดยคาดว่าจะเห็นโครงการนี้เป็นรูปธรรมได้ในเดือนพฤษภาคม 2566 นี้
“ตอนสมัครเป็น กสทช.ได้แสดงวิสัยทัศน์ในเรื่องแพทย์ทางไกล เมื่อได้รับเลือกแล้วจึง เป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ ตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการเข้ามาเป็น กสทช. จะสามารถผลักดันโครงการนี้ ได้ดีกว่าการ ไปอยู่ในตำแหน่งในหน่วยงานอื่น เพราะมีระยะเวลาทำงานยาวถึง 6 ปี โดยตอนนี้ได้มีคณะทำงานขึ้นมาทำงานแล้ว และกำลังเร่งทำงานในเรื่องนี้ โดย กสทช. จะเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ขับเคลื่อนในเรื่องนี้” นพ. สรณ กล่าว
นพ. สรณ กล่าวต่อว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คือ คนไทยทุกคนจะมีแพทย์ประจำตัว 1 คน ที่คอยให้คำปรึกษาเวลาเจ็บป่วย ซึ่งการรักษาและให้คำปรึกษาของแพทย์ในบางกลุ่มโรคไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่โรงพยาบาล หากใช้เทเลเมดิซีน ด้วยการวิดีโอคอล เพื่อให้เห็นหน้า พูดคุยถึงอาการ ก็สามารถวินิจฉัยพร้อมสั่งยา โดยที่คนไข้ไม่ต้องเดินทางมา และสามารถรอรับยาอยู่ที่บ้านได้ ซึ่งช่วยในการประหยัดเวลาและค่าเดินทางได้มาก โดยเฉพาะคนที่อยู่ในชนบทห่างไกล โดยคาดว่าจะเห็นโครงการนี้เป็นรูปธรรมได้ในเดือนพฤษภาคม 2566 นี้
