
ใน Keynote เซสชันสุดท้ายของงาน WWDC 2023 ทิม คุก (Tim Cook) ซีอีโอได้เล่าถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Apple ไม่ว่าจะเป็นไอโฟน ไอแพด หรือแอปเปิล วอช ซึ่งล้วนเป็นนวัตกรรมที่ทรงอิทธิพล ก่อนจะเกริ่นถึงเทคโนโลยีที่บริษัททุ่มเทพัฒนามานานหลายปี นั่นก็คือ เทคโนโลยีเสมือนจริง (Augmented Reality) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ประเภทใหม่ที่เรียกว่า ‘Spatial Computing’ พร้อมกับเปิดคลิป Demo สาธิตวิธีการใช้งาน Vision Pro
รู้จัก Spatial Computing และ Mixed Reality
Apple ให้คำนิยาม Vision Pro ว่าเป็น ‘a revolutionary spatial computer’ ซึ่งหลายคนอาจสับสนว่ามันคืออะไรกันแน่?
ปี 2022 บริษัท Gartner เคยกล่าวถึงเทคโนโลยี Spatial Computing ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโลก Metaverse ทำหน้าที่ประมวลผลและประสานข้อมูลของวัตถุจริงกับวัตถุดิจิทัลบนพื้นที่ทางกายภาพ ทำให้ผู้ใช้งานมองเห็นวัตถุเสมือนจริงที่ปรากฏในโลกจริงและ interact กับวัตถุเหล่านั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้บริษัทคาดการณ์ว่า แว่นที่มาพร้อมกับ Spatial Computing รุ่นที่ 2 และ 3 จะถูกผลิตขึ้นภายในปี 2026 เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นสำหรับการเชื่อม Metaverse เข้ากับโลกทางกายภาพ
ส่วน Mixed Reality ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเทคโนโลยีที่ผสานรวมระหว่างโลกจริง (Real-world) กับโลกเสมือน (Virtual world) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ผสมผสานโลกดิจิทัลกับความเป็นจริงเข้าด้วยกัน อธิบายให้ง่ายกว่านั้นคือ ถ้า VR คือแว่นที่ทำให้เราได้เข้าไปท่องในโลกเสมือนจริงแล้ว MR หรือ Mixed Reality ก็คือ เทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถมองเห็นวัตถุหรือคอนเทนต์ดิจิทัลได้ ขณะเดียวกันก็สามารถ interact กับผู้คนและสิ่งแวดล้อมในความเป็นจริงได้ในเวลาเดียวกัน


นี่คือความก้าวหน้าอีกขั้นของ Human Interface ที่ Apple ออกแบบมาได้ราวกับอยู่ในหนังไซ-ไฟเลยทีเดียว

Vision Pro ทำอะไรได้บ้าง?

- ยกระดับความบันเทิง: เปลี่ยนบ้านให้เป็นโรงภาพยนตร์ส่วนตัวที่เราปรับไซส์หน้าจอในโลกเสมือนจริงได้ตามใจ รองรับทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์ รายการโชว์ และเกมต่างๆ พร้อมระบบเสียง Spatial Audio ที่กระจายทั่วทิศทาง พร้อมความละเอียดภาพสูงกว่า 4K อีกทั้งยังปรับเปลี่ยนพื้นหลังได้แบบ 180 องศา เราสามารถสรับชมคอนเทนต์เหล่านี้จากที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะบนเครื่องบิน หรือในบ้าน

- รองรับการใช้แอปพลิเคชันบน iOS ตั้งแต่การทำงาน ประชุม VDO Call พรีเซนต์งาน ซึ่งจะปรากฏเป็นหน้าจอเสมือนจริงขึ้นมาโลกดิจิทัล ทำให้เราสามารถโน้ตประชุม และค้นหาข้อมูลไปด้วยได้อย่างง่ายดาย

- สามารถปรับให้เห็นสภาพแวดล้อมภายนอกได้ตามปกติ
- ใช้งานได้นาน 2 ชั่วโมงโดยมีแบตเตอรี่แยก เพื่อลดน้ำหนักของอุปกรณ์ในระหว่างการใช้งาน
- ใช้ชิปประมวลผลถึง 2 ตัวด้วยกันเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด คือ M2 ของ Apple และ R1 ซึ่งประมวลผลจากกล้อง 12 ตัว เซ็นเซอร์ 5 ตัว และไมโครโฟนอีก 6 ตัว เพื่อแสดงเนื้อหาให้ผู้ใช้รับชมแบบเรียลไทม์ โดย R1 สามารถสตรีมภาพใหม่ไปยังจอแสดงผลภายใน 12 มิลลิวินาที ซึ่งเร็วกว่าการกะพริบตาถึง 8 เท่าเลยทีเดียว
Apple เผยว่า Vision Pro จะออกสู่ตลาดสหรัฐฯ ในปีหน้าอ ย่างไรก็ตาม ราคาที่สูงลิบลับยังเป็นอุปสรรคสำหรับการตีตลาดแมส โดยราคาเปิดตัวอยู่ที่ 3,499 เหรียญสหรัฐ หรือกว่า 1.2 แสนบาทเลยทีเดียว!

Apple จะสู้คู่แข่งไหวไหม?
มองตามความเป็นจริง กว่า Apple จะเข้ามาลงเล่นในตลาดนี้ก็ถือว่า ‘ช้า’ กว่าคู่แข่งรายอื่นๆ อยู่มาก เช่น Meta ที่เปิดตัวแว่น VR อย่าง Oculus ไปแล้วหลายรุ่น เช่น Oculus Rift และ Oculus Quest ที่มีถึง 3 รุ่น ไม่นับรวมอุปกรณ์คอนโทรลอื่นๆ อีกทั้งราคายังย่อมเยากว่ามาก อยู่ที่ประมาณ 299.99 - 499.99 ดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ยังมีผู้เล่นรายใหญ่อื่นๆ เช่น Samsung Gear, Sony Playstation VR และ HTC Vive ซึ่งก็สนนราคาเริ่มต้นไม่ต่างจาก Oculus มากนัก ทำให้นักลงทุนกังวลว่า Move นี้ของ Apple ยังไม่น่าตื่นเต้นหรือน่าประทับใจมากนัก สังเกตได้จากตลาดหุ้นที่ไม่ได้พุ่งขึ้นแม้แต่น้อย
ทีนี้ เมื่อลองศึกษามูลค่าของตลาด AR/VR ก็ยังมีแนวโน้มจะเติบโตอยู่บ้าง Vnyz Research คาดการณ์ว่า ตลาดนี้มีแนวโน้มจะมีอัตราเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้นเพิ่มขึ้น 48.8% ในช่วงปี 2020-2025 โดยคาดว่าจะทำรายได้สูงถึง 161,100 ล้านดอลลาร์ภายใน 2 ปีข้างหน้า
แต่เกมนี้เราอาจต้องรอดูกันอีกยาวว่าหลังจาก Apple วางจำหน่ายสินค้านี้แล้ว จะกวาดรายได้และเสียงตอบรับอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ ในสายตาของแฟนๆ Apple และเหล่า Early Adopter ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือ อุปกรณ์ AR/VR ที่น่าใช้มากที่สุด และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่เคอะเขิน
สรุป ฟีเจอร์เด่น Vision Pro
- ผู้ใช้ interact กับโลกดิจิทัลได้ผ่านการมอง เสียง และการเคลื่อนไหว โดยไม่ต้องสัมผัส
- ดูหนัง เล่นเกม ขยายจอเสมือนจริงได้ตามใจชอบ
- ระบบเสียง Spatial Audio รอบทิศทาง
- ปรับเป็นโหมดการมองเห็นปกติได้ ไม่ต้องถอดแว่น
- ใช้ประชุม ทำงาน และเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้เหมือนกับสมาร์ทโฟน
