ในขณะที่บ้านเมืองอื่น ผู้ที่บริหารจัดการเรือนจำคือรัฐบาล แต่ในบางประเทศ เช่น ในสหรัฐฯ รัฐไม่สามารถดูแลเรือนจำได้ทั้งหมด จึงต้องให้สัมปทานกับเอกชนเข้ามาช่วยดูแล กลายเป็นธุรกิจแบบใหม่ที่เรียกว่า เรือนจำเอกชน (Private prison) แต่มันยังถูกเรียกด้วยว่า เรือนจำเพื่อทำกำไร (for-profit prison)
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า รัฐมีหน้าที่จับผู้ต้องหา ดำเนินคดีคนเหล่านั้น แล้วลงโทษผู้กระทำผิด เมื่อกำหนดโทษแล้ว ส่งตัวไปเรือนจำ หลังจากนั้นแล้วเป็นหน้าที่ของเรือนจำเอกชนที่จะควบคุมตัวนักโทษ
เรือนจำเอกชน (หรือบริษัทที่ทำธุรกิจเรือนจำ) จะทำสัญญากับรัฐบาล (ในกรณีของสหรัฐฯ คือทำสัญญากับมลรัฐต่างๆ) เพื่อตกลงกันว่าในแต่ละปีเรือนจำจะได้เงินจากรัฐแค่ไหน
เว็บไซต์ Investopedia อธิบายวิธีการตกลงเรื่องเงินระหว่างรัฐกับเอกชนในบทความชื่อ The Business Model of Private Prisons จะขอสรุปสั้นๆ ดังนี้
คำถามก็คือจะทำอย่างไรที่จะให้มีนักโทษมากขึ้น?
⁃ ปี 1990 จำนวนนักโทษ 1,148,700 คน เพิ่ม 128%
⁃ ปี 2000 จำนวนนักโทษ 1,945,400 คน เพิ่ม 69%
⁃ ปี 2010 จำนวนนักโทษ 2,279,100 คน เพิ่ม 17%
แล้วบริษัทพวกนี้ร่ำรวยแค่ไหน? แต่คำถามนี้ยังไม่สำคัญเท่ากับว่าใครที่ถือหุ้นของบริษัทเหล่านี้บ้าง เพราะจะทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่าโครงสร้างการจัดการอาชญากรรมลักษณะนี้เกิดจากอิทธิพลของใครบ้าง?
⁃ Vanguard Group Inc (สัดส่วนหุ้น 10.94%)
⁃ River Road Asset Management (สัดส่วนหุ้น 7.70%)
⁃ Fidelity Management & Research Co (สัดส่วนหุ้น 6.80%)
⁃ The Vanguard Group, Inc. (สัดส่วนหุ้น 10.84%)
⁃ Mason Capital Management LLC (สัดส่วนหุ้น 4.35%)
⁃ Fidelity Management & Research Co (สัดส่วนหุ้น 3.99%)
น่าสังเกตว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในอันดับต้นๆ ของบริษัทกลุ่ม PIC คือบริษัทการลงทุนชั้นนำของโลกทั้งสิ้น ซึ่งน่าจะสะท้อนว่าธุรกิจ PIC มีความสมเหตุสมผลทางธุรกิจ (หรือแง่หนึ่งคือทำกำไรได้มาก) ถึงขนาดที่นักลงทุนระดับโลกไว้วางใจขนาดนี้
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า รัฐมีหน้าที่จับผู้ต้องหา ดำเนินคดีคนเหล่านั้น แล้วลงโทษผู้กระทำผิด เมื่อกำหนดโทษแล้ว ส่งตัวไปเรือนจำ หลังจากนั้นแล้วเป็นหน้าที่ของเรือนจำเอกชนที่จะควบคุมตัวนักโทษ
เรือนจำเอกชน (หรือบริษัทที่ทำธุรกิจเรือนจำ) จะทำสัญญากับรัฐบาล (ในกรณีของสหรัฐฯ คือทำสัญญากับมลรัฐต่างๆ) เพื่อตกลงกันว่าในแต่ละปีเรือนจำจะได้เงินจากรัฐแค่ไหน
เว็บไซต์ Investopedia อธิบายวิธีการตกลงเรื่องเงินระหว่างรัฐกับเอกชนในบทความชื่อ The Business Model of Private Prisons จะขอสรุปสั้นๆ ดังนี้
- สมมติว่านักโทษ 1 คนใช้งบประมาณดูแลคนละ 100 ดอลลาร์ (รวมค่ากิน ค่าสาธารณูปโภค ค่าผู้คุม ค่าธุรการ ฯลฯ)
- บริษัทเรือนจำอาจจะเรียกร้องจากรัฐบาลเป็น 150 ดอลลาร์ต่อหัวนักโทษ โดย 50 ดอลลาร์ คือ ค่าบริการหรือกำไรของเอกชน
- สมมติว่าเรือนจำแห่งนั้นมีนักโทษ 1,000 คน บริษัทเรือนจำก็จะได้ 50,000 ดอลลาร์ต่อวัน หากมีนักโทษเข้ามาอีก กำไรก็จะยิ่งเพิ่ม
- และเพราะนี่คือธุรกิจ บริษัทเรือนจำมีแรงจูงใจที่จะต้องทำกำไรเพิ่ม ดังนั้น ถ้ามีโอกาสพวกเขาจะต้องขอทำสัญญากับรัฐต่อไป เพื่อขยายเรือนจำ
คำถามก็คือจะทำอย่างไรที่จะให้มีนักโทษมากขึ้น?
เมื่อมีคนตาย คนขายโลงศพได้กำไร
ธุรกิจเรือนจำก็เหมือนกับการขายโลงศพ สำหรับร้านขายโลงแล้ว ถ้าไม่มีคนตายพวกเขาก็คงทำกิจการต่อไปไม่ได้ เรือนจำที่ไม่มีนักโทษก็เช่นกัน ดังนั้น ธุรกิจเรือนจำจะต้อง ‘เดินสาย’ กับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจของพวกเขาอยู่ต่อไปได้ ต่อไปนี้คือวิธีการของพวกเขา- ธุรกิจเหล่านี้ไม่ใช่บริษัทรายบ่อย แต่เป็นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมด้านความมั่นคงของชาติ ดังนั้นจึงมีอีกชื่อว่า Prison–industrial complex (PIC)
- ด้วยความที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทรงอิทธิพล PIC จึงมีพลังต่อรองกับรัฐได้ และพวกเขามักเข้าหานักการเมืองด้วยการ ‘ล็อบบี้’ ผ่านเงินสนับสนุนพรรคการเมือง หรือให้หุ้นกับนักการเมือง
- สิ่งที่ PIC ล็อบบี้ให้นักการเองและรัฐทำ คือเรียกร้องให้รัฐบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่มีลดหย่อน แม้แต่ความผิดเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถจับเข้าคุกได้ หรืออาจล็อบบี้ให้ผ่านกฎหมายที่เคร่งครัดขึ้น
- เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด จำนวนผู้กระทำความผิดที่เข้าเกณฑ์ต้องติดคุกจึงมากขึ้น เรือนจำเอกชนจึงมีนักโทษ (หรือสินค้า) หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย และหมายถึงมีกำไรไม่หยุดหย่อนด้วย
โมเดลนรกที่ทำให้คนตกนรกทั้งเป็น
นี่คือโมเดลการทำธุรกิจที่ดูเหมือนจะดี (สนับสนุนกฎหมายที่เคร่งครัด) แต่การใช้กฎหมายที่เข้มงวดไม่ได้หมายความว่าสังคมจะปลอดจากอาชญากรรม และมันอาจให้ผลตรงกันข้ามได้ จะยกตัวอย่างจากทศวรรษที่ 70 ที่เป็นจุดเริ่มความรุ่งเรืองของ PIC- ช่วงทศวรรษที่ 70 สหรัฐฯ มีปัญหายาเสพติดรุนแรง รัฐบาลจึงประกาศสงครามยาเสพติด (War on Drug) และมีการผ่านกฎหมายที่กำหนดโทษรุนแรง แม้แต่กับคนที่ครอบครองยาเสพติดเพียงเล็กน้อย
- หลังจากนั้นจำนวนนักโทษในเรือนจำเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เท่านั้นยังไม่พอ ในทศวรรษที่ 80 มีการผ่านกฎหมายปฏิรูปการลงโทษ ผลก็คือ จำนวนนักโทษในเรือนจำพุ่งพรวด
⁃ ปี 1990 จำนวนนักโทษ 1,148,700 คน เพิ่ม 128%
⁃ ปี 2000 จำนวนนักโทษ 1,945,400 คน เพิ่ม 69%
⁃ ปี 2010 จำนวนนักโทษ 2,279,100 คน เพิ่ม 17%
- จำนวนนักโทษที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ทำให้สังคมปลอดภัยขึ้น ตรงกันข้าม นักโทษส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำที่มีฐานะยากจน เมื่อถูกจับเขาคุก โอกาสในชีวิตก็หมดลง เมื่อออกจากคุกพวกเขาที่ไม่มีอนาคตอีก ก็ต้องใช้ชีวิตวนเวียนกับอาชญากรรมอีก นั่นเองเป็นเหตุผลว่าทำไมอาชญากรรมถึงไม่ลดลง และจำนวนนักโทษยิ่งเพิ่มขึ้น
บริษัทเรือนจำรวยกันแค่ไหน?
หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐเริ่มลดการสนับสนุน PIC บริษัทพวกนี้ยังไม่ยอมแพ้ และเดินหน้าล็อบบี้ต่อไป บริษัทใหญ่ๆ ในกลุ่ม PIC เช่น CoreCivic กับ GEO Group จึงให้การสนับสนุนพรรครีพับลิกัน เช่น อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีนโยบายที่เป็นคุณกับ PICแล้วบริษัทพวกนี้ร่ำรวยแค่ไหน? แต่คำถามนี้ยังไม่สำคัญเท่ากับว่าใครที่ถือหุ้นของบริษัทเหล่านี้บ้าง เพราะจะทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่าโครงสร้างการจัดการอาชญากรรมลักษณะนี้เกิดจากอิทธิพลของใครบ้าง?
- ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด 4 อันดับแรกของ CoreCivic
⁃ Vanguard Group Inc (สัดส่วนหุ้น 10.94%)
⁃ River Road Asset Management (สัดส่วนหุ้น 7.70%)
⁃ Fidelity Management & Research Co (สัดส่วนหุ้น 6.80%)
- ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด 4 อันดับแรกของ GEO Group
⁃ The Vanguard Group, Inc. (สัดส่วนหุ้น 10.84%)
⁃ Mason Capital Management LLC (สัดส่วนหุ้น 4.35%)
⁃ Fidelity Management & Research Co (สัดส่วนหุ้น 3.99%)
น่าสังเกตว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในอันดับต้นๆ ของบริษัทกลุ่ม PIC คือบริษัทการลงทุนชั้นนำของโลกทั้งสิ้น ซึ่งน่าจะสะท้อนว่าธุรกิจ PIC มีความสมเหตุสมผลทางธุรกิจ (หรือแง่หนึ่งคือทำกำไรได้มาก) ถึงขนาดที่นักลงทุนระดับโลกไว้วางใจขนาดนี้