สมาคมลับและภักดีต่อสายเลือด คือความคงกระพันของ Sumitomo

15 มิ.ย. 2566 - 04:07

  • Sumitomo Group คือหนึ่งใน Big Four ของบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น

  • บริษัทนี้อายุยืนยาวที่สุดและเน้นที่การสืบทอดทางสายเลือดมากกว่าบิ๊กธุรกิจรายอื่นๆ

TAGCOUD-the-secret-that-make-sumitomo-group-becomes-resilient-SPACEBAR-Thumbnail

สาแหรกที่ยึดโยงความยิ่งใหญ่ 

• ตระกูล ซูมิโตโม สืบที่มาย้อนหลังได้ถึงจักรพรรดิคัมมู (ครองราชย์ ค.ศ.781-806) ซึ่งทรงมีพระโอรสคือเจ้าชายคาซุระวาระ เจ้าชายคะซุระวะระมีพระโอรสคือเจ้าชายทาคามิ เจ้าชายทาคามิมีพระโอรสคือเจ้าชายทาคาโมจิ  

• เจ้าชายทาคาโมจิ ถูกปลดจากฐานันดรเจ้านายลงมาเป็นชั้นศักดินา มีนามสกุลว่า ไทระ ดังนั้นประวัติศาสตร์จึงจารึกไว้ว่า ไทระ โนะ ทาคาโมจิ คือต้นตระกูลไทระ ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในเวลาต่อมา 

• ลูกหลาน รุ่นที่ 22 ของ  ไทระ โนะ ทาคาโมจิ คือ ซูมิโตโม ทาดาชิเงะ คือผู้เริ่มต้นสายตระกูลใหม่ในชื่อตระกูลซูมิโตโม และเป็นซามูไรหรือชนชั้นนักรบที่รับใช้โชกุน (ขุนศึกที่ทำหน้าที่เสมือนนายกรัฐมนตรี) โดยเฉพาะโชกุนตระกูลอะชิคางะ   

• ทาดาชิเงะ มีลูกชายชื่อ โยริซาดะ (รับใช้โชกุน) มีลูกชายชื่อ ซาดะโนบุ มีลูกชายชื่อ ซาดาชิเงะ (รับใช้ขุนศึกตระกูลอิมางาวะ) มีลูกชายชื่อ มาซาโตชิ (รับใช้ขุนศึกตระกูลชิบาตะ) มีลูกชายชื่อ นางะยูกิ (รับใช้ขุนศึกตระกูลมัตสึไดระ)
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/05IdGUgWhdWiHGYMDJvaf/e2e33cfdeff15493d480918441585175/TAGCOUD-the-secret-that-make-sumitomo-group-becomes-resilient-SPACEBAR-Photo01
Photo: พระบรมสาทิศลักษณ์ของจักรพรรดิคัมมู หนึ่งในบรรพบุรุษของตระกูลซูมิโตโม ภาพจากหนังสือ 天皇一二四代

จากจับดาบมาดีดลูกคิด 

เส้นทางของตระกูลซูมิโตโม เริ่มจากการเป็นชนชั้นนักรบและขุนนางมาตลอดพันกว่าปี แต่ต่อ ซูมิโตโม นางะยูกิ มาเห็นว่าการเป็นซามูไรมีแต่ทำให้ตระกูลมีแต่ความวุ่นวาย เขาจึงสั่งให้ลูกหลานเลิกเป็นนักรบ แล้วเดินบนเส้นทางของสามัญชน 

ความไม่จีรังของอาชีพซามูไรเห็นได้ชัดจากตระกูลขุนศึกที่พวกซูมิโตโมคอยรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลอิมางาวะที่เคยยิ่งใหญ่ ก็ถูกโค่นล้มโดยตระกูลโอดะ (ที่เคยเป็นบริวาร) ตระกูลชิบาตะที่ยิ่งใหญ่ได้เพราะรับใช้ตระกูลโอดะก็ล่มสลายลงไปในศึกชิงอำนาจ ส่วนตระกูลมัตสึไดระ ต่อมาจะยิ่งใหญ่นานกว่าใครเพื่อน เพราะเป็นญาติกับโชกุนตระกูลโทกุกาวะ แต่สุดท้ายก็ต้องหมดวาสนาไปตามครรลองประวัติศาสตร์ 

ลูกชายของ นางะยูกิ คือ ซูมิโตโม มาซาโตโม รับคำสั่งจากบิดา ไม่ใช่แค่เลิกเป็นซามูไร แต่ยังสละทางโลกมุ่งสู่การเป็นพระสงฆ์ เข้าร่วมกับนิกายนิพพาน (นิกายเนฮังชู) ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ในยุคที่ผู้คนโหยหาที่พึ่งทางใจ ต่อมานิกายนี้รวมเข้ากับนิกายที่ใหญ่กว่าคือนิกายเทนได มาซาโตโม ไม่ยอมเข้าสังกัดใหม่ จึงสึกออกมาแล้วเริ่มต้นวิถีของพ่อค้า ด้วยการเปิดร้านขายหนังสือและยาในนครเกียวโต นี่คือจุดเริ่มต้นบนเส้นทางธุรกิจของตระกูลซูมิโตโม
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4g8bDxEd8OQXjbqOcGOi6a/f40244df62e88d3dfbfe0c0c79297db0/TAGCOUD-the-secret-that-make-sumitomo-group-becomes-resilient-SPACEBAR-Photo02
Photo: โรงงานของซูมิโตโม ที่เบชชิ ถ่ายเมื่อรัชกาลเมจิปีที่ 23 หรือ ค.ศ. 1890 ภาพจาก 国際環境経済研究所

กำเนิดยักษ์ทองแดง 

ซูมิโตโม มาซาโตโม อาจจะเป็นคนเริ่มเส้นทางการค้าของตระกูล และเขายังถือว่าเป็นต้นตระกูลซูมิโตโมสายใหม่ (สายธุรกิจ) แต่เอาเข้าจริงแล้ว คนที่ให้กำเนิดกลุ่มบริษัทซูมิโตโม คือ พี่เขยของ มาซาโตโม ที่ชื่อ โซงะ ริเอะมง พ่อค้าทองแดง ผู้ทำการค้าขายกับต่างชาติ และพัฒนาเทคนิคการหลอมทองแดงที่เขาค้นพบ นั่นคือการแยกแร่เงินออกจากทองแดง ซึ่งทำให้ธุรกิจของเขาก้าวล้ำกว่าใคร 

ในยุคเซนโกกุ (ยุคสงครามระหว่างแคว้นของญี่ปุ่น) ทองแดงเป็นยุทธภัณฑ์ที่มีค่ามากโดยเฉพาะในการผลิตปืน และทองแดงญี่ปุ่นยังมีคุณภาพสูงมากและเป็นที่ต้องการของต่างชาติ เช่น ประเทศสยามในสมัยอยุธยาก็สั่งทองแดงจากญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก  

ความเชี่ยวชาญในธุรกิจทองแดงจึงเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของตระกูลซูมิโตโม ตั้งแต่ยุคเซนโกกุ จนมาถึงยุคเอโดะ (ยุคสันติ) จวบจนถึงยุคสมัยใหม่ มันก็ยังเป็นธุรกิจหลักของตระกูลและกลุ่มบริษัทนี้ 

ตระกูลโซงะของพี่เขย และซูมิโตโมของน้องเขยจะกลายมาเป็นตระกูลเดียวกัน เมื่อลูกชายคนโตของ โซงะ ริเอะมง แต่งงานกับลูกสาวของของ ซูมิโตโม มาซาโตโม แล้วเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของพ่อตา กลายเป็นทายาทของตระกูลซูมิโตโมไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของญี่ปุ่นที่จะให้ลูกเขยเปลี่ยนนามสกุลมาใช้ของภรรยา หากตระกูลของภรรยาไม่มีผู้ชายสืบทอด 

นอกจากจะมีเทคโนโลยีการหลอมทองของตัวเองแล้ว ซูมิโตโมจะยิ่งแข็งแกร่งเข้าไปอีก เมื่อพวกเขาพัฒนาเหมืองทองแดงเบชชิ ในมณฑลเอฮิเมะ ในปี  ค.ศ. 1690 (สมัยเอโดะ) ซึ่งกลายเป็นเหมืองทองแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานั้น
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/4kAYyrTrnrFlViT3Z56ZwD/c971398225b07ca1e2a28fc29b63158d/TAGCOUD-the-secret-that-make-sumitomo-group-becomes-resilient-SPACEBAR-Photo03
Photo: ซูมิโตโม โทโมซูมิ เจ้าตระกูลซูมิโตโม รุ่นที่ 15 ภาพจาก Sumitomo Historical Archives

ปกครองแต่ไม่บริหาร  

ดูเหมือนว่า ซูมิโตโม จะทำธุรกิจทองแดงยาวนานกว่าใครในโลกนี้ ซึ่งไม่ได้ทำให้พวกเขาล้าหลังหรืดติดกับดักอยู่ในผลิตภัณฑ์เดิมๆ เพราะทองแดงคือสินค้าโภคภัณฑ์ที่ไม่มีวันล้าสมัย และเมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคใหม่ รูปแบบการบริหารธุรกิจของซูมิโตโมก็ปรับเปลี่ยนตามไปด้วย  

ในปี 1877 หัวหน้าตระกูลซูมิโตโม รุ่นที่ 12 ล้มป่วยลง จึงแต่งตั้งให้พนักงานที่ไต่เต้าขึ้นมาจากการดูแลเหมืองทองแดงเบชชิ มารับหน้าที่บริหารแทนเขา นั่นคือ ฮิโรเสะ ไซเฮ รับตำแหน่ง ‘ผู้จัดการทั่วไป’ ที่เป็นตัวแทนบริหารทุกมิติของกลุ่มบริษัท หรือเป็นผู้ควบคุมซูมิโตโมในแง่ธุรกิจ ส่วนในตระกูลยังเป็นเจ้าบ้านที่เป็นหัวหน้าตระกูลซูมิโตโมที่ควบคุมสูงสุดต่อไป เรียกว่าระบอบ ‘ปกครองแต่ไม่บริหาร’ 

ระบอบปกครองแต่ไม่บริหาร คล้ายกับระบอบโชกุน ซึ่งมีโชกุนทำหน้าที่เสมือนนายกรัฐนตรีบริหารประเทศ ส่วนผู้ปกครองแท้จริงคือจักรพรรดิ ที่ทรงเป็นประมุขแต่ไม่ทรงบริหาร ขณะที่ระบอบโชกุนทำแบบนี้ก็เพื่อยึดอำนาจจักรพรรดิมาอยู่ในกำมือของตนเอง แต่ซูมิโตโมใช้ระบอบนี้เพื่อแก้ปัญหาเจ้าตระกูลไม่พร้อมที่จะบริหาร เพราะเด็กเกินไปหรือล้มป่วย  

ระบอบนี้จะทำให้ซูมิโตโมต่างจากกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ (ไซบัตสึ หรือ Big Four) รายอื่นๆ ของญี่ปุ่นที่คนในตระกูลผู้ก่อตั้งไม่ได้มีอิทธิพลต่อบริษัทสักเท่าไรแล้ว
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5z4w26TYCvJqC8v4GkFJ7x/e4658bc07b4dbbd5ca84c407d2bf9fd9/TAGCOUD-the-secret-that-make-sumitomo-group-becomes-resilient-SPACEBAR-Photo04
Photo: ไซเฮ ฮิโรเสะ ‘ผู้สำเร็จราชการ’ หรือผู้จัดการทั่วไปคนแรกในระบอบ ‘ปกครองแต่ไม่บริหาร’ ภาพจาก Hirose Historical Museum

เลือดยังข้นกว่าน้ำ 

ถ้าเราจะพูดถึงซูมิโตโมในแง่ธุรกิจก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดาเกินไป เรารู้อยู่แล้วว่ากลุ่มบริษัทนี้ขยายกิจการจนมีธุรกิจครอบจักรวาลเหมือนไซบัตสึบริษัทอื่นๆ ที่บางแห่งเริ่มจากจักรกลจนกระทั่งทำการเงินก็มี ซูมิโตโมก็เช่นกัน พวกเขาเริ่มจากเหมืองทองแดง จนวันนี้มีทั้งการเงิน อสังหาฯ เคมี แม้แต่ชิ้นส่วนรถยนต์ ฯลฯ  

แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าอาณาจักรธุรกิจก็คือ พวกเขาทำอย่างไรคนในตระกูลผู้ก่อตั้งถึงยังมีบารมีไม่เสื่อมคลาย? ซึ่งต่างจากไซบัตสึอื่นๆ ที่ผู้ก่อตั้งต้องหลีกทางให้กับการบริหารยุคใหม่ โดยเฉพาะหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบโชกุนมาเป็นระบอบรัฐสภาในสมัยเมจิ มีการตรากฎหมายถือครองธุรกิจแบบตะวันตก ที่ไม่เอื้อต่อระบอบเจ้าตระกูลอีก  

แต่สิ่งที่ทำลายระบอบตระกูลที่ปกครองกลุ่มบริษัทไซบัตสึแบบถาวรยิ่งกว่าสมัยเมจิ ก็คือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการตรากฎหมายสลายอิทธิพลบริษัทไซบัตสึ ฐานที่บริษัทเหล่านี้รับใช้ระบอบอำนาจนิยม การขยายดินแดน และการทำสงครามของจักรวรรดิญี่ปุ่น กฎหมายนี้มีชื่อว่า ‘พระราชบัญญัติกำจัดอำนาจการควบคุมของตระกูลเหนือไซบัตสึ’ ทั้งนี้ ก็เพื่อขจัดการผูกขาด และสร้างระบอบเศรษฐกิจที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น  

ปรากฎว่าตระกูลซูมิโตโมก็เข้าข่ายไปด้วย และทำให้เจ้าตระกูลคนสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับระบอบ ‘ปกครองแต่ไม่บริหาร’ อย่างเป็นทางการ คือเจ้าบ้านรุ่นที่ 16  

แต่เพราะระบอบ ‘ปกครองแต่ไม่บริหาร’ เช่นเดียวกัน ที่ทำให้ตระกูลซูมิโตโมยังมีอิทธิพลในบริษัทต่อไปในแบบไม่เป็นทางการ เพราะระบอบนี้แยกเจ้าบ้าน (เสมือนประมุข) ออกจากเจ้าของธุรกิจ (เสมือนนายกรัฐมนตรี) มานับร้อยปีแล้ว ถึงไม่มีการตรากฎหมาย พวกเขาก็แยกตัวเองออกในฉากหน้ามาตั้งนานนม แต่ในฉากหลังคนในตระกูลยังได้รับความจงรักภักดีไม่เสื่อมคลาย
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/2a1ypxZ0VzZ8t7zYELIWFF/e8da9e7ba4752c876666a16dc7da6764/TAGCOUD-the-secret-that-make-sumitomo-group-becomes-resilient-SPACEBAR-Photo05
Photo: อาคารหลังเดิมของธนาคารซูมิโตโม ในโอซาก้า หนึ่งในประธานคนเก่าของธนาคารซูมิโตโม เป็นผู้เสนอให้ใช้ชื่อสมาคมผู้บริหารว่า ฮะกุซุยไค

ไม่มีวันถูกทำลายได้ 

และทุกวันนี้ ตระกูลซูมิโตโมยังมีเจ้าบ้านรุ่นที่ 17 ต่อไป นั่นคือ ซูมิโตโม โยชิโอะ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของมูลนิธิซูมิโตโม (Sumitomo Foundation)  

แม้ว่าตำแหน่งประธานมูลนิธิอาจจะดูเหมือนไม่มีพลังอำนาจ แต่เราต้องทราบด้วยว่าซูมิโตโมยังมี ‘องค์กรภายใน’ ที่ไม่เหมือนใครที่คอยผสานระบอบ ‘ปกครองแต่ไม่บริหาร’ เอาไว้ คือ ‘ฮะกุซุยไค’ (สมาคมธารน้ำร้อยสาย) ที่ประกอบไปด้วยประธานบริษัทลูกในเครือ Sumitomo Group ทั้งหลาย 

สมาคมนี้ตั้งขึ้นมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อทำหน้าที่เป็น ‘คณะกรรมการบริหารฝ่ายบริหารอย่างไม่เป็นทางการ’ ซึ่งนัยหนึ่งก็เพื่อรักษาระบอบดั้งเดิมของกลุ่มบริษัทเอาไว้ไม่ให้ถูกทำลายลงเพราะกฎหมายกำจัดระบบไซบัตสึ โดยที่แกนกลางหรือดาวฤกษ์ของ ‘ฮะกุซุยไค’ ยังคงเป็นบริษัทอุตสาหกรรมทองแดงอันเป็นรากฐานเดิมของซูมิโตโม ขณะที่บริษัทธุรกิจอื่นๆ เป็นเหมือนดาวเคราะห์ที่โคจรไปรอบๆ ดาวฤกษ์ 

เงื่อนไขสำคัญของ ‘ฮะกุซุยไค’ ก็คือ ผู้เข้าประชุมจะต้องเป็นระดับประธานเท่านั้น จะให้คนอื่นมาแทนไม่ได้ และจะต้องมีความภักดีอย่างยิ่งยวดต่อเจ้าบ้านตระกูลซูมิโตโม และเจ้าตระกูลจะมอบ ‘พันธสัญญา’ เพื่อผูกมัดพวกเขาเอาไว้ในความภักดี นั่นคือการมอบกฎบัตรประจำตระกูลที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคของ ซูมิโตโม มาซาโตโม ผู้ก่อตั้งตระกูลคนแรก 

เราจะเห็นว่า แท็คติกการแบ่งอำนาจและแยกส่วนปกครอง คือดีเอ็นเอของซูมิโตโมที่ทำให้พวกเขาดำรงอยู่ได้ตลอดมาและตลอดไป

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์