
Background data
- ในสมัยเอโดะ ญี่ปุ่นแบ่งการปกครองเป็นแคว้น หรือ ‘ฮัง’ มีทั้งหมดราวๆ 280 ฮัง แต่ละฮังมีเจ้าแคว้นปกครอง ซึ่งแต่งตั้งโดยโชกุน แต่จะแต่งตั้งคนในตระกูลเดิมสืบทอดกันไป
- แต่ละฮังมีอัตราศักดินาที่เรียกว่า ‘โคกุ’ (ซึ่งเท่ากับข้าว 150 กิโลกรัม) ต่างกัน ขึ้นกับความใกล้ชิดกับโชกุนและรัฐบาลกลาง และขึ้นกับความดีความชอบด้านการปกครอง
- ดังนั้นแต่ละฮังจึงมีความมั่งคั่งที่กับ ‘โคกุ’ ต่างกันมาก เช่น ตระกูลโทกุกาวะ ญาติของโชกุนที่ปกครองแคว้นโอวาริ มีจำนวนโคกุถึง 619,000 โคกุ คิดเป็นค่าเงินปัจจุบันคือ 1.8 แสนล้านเยน
- ในขณะที่แคว้นโทะซะมีศักดินา 202,600 โคกุในทางนิตินัย แต่อาจมีสูงถึง 494,000 โคกุ ในทางปฏิบัติ เพราะมีเจ้าแคว้นที่ใกล้ชิดกับโชกุน
และแม้ว่าจักรวรรดิญี่ปุ่นจะล่มสลายไปหลังความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ Mitsubishi ไม่ใช่แค่รอดมาได้ แต่ยังยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยซ้ำ และนี่คือเหตุผลว่าทำไม?
ผู้ที่ให้กำเนิด Mitsubishi คือซามูไรปลายแถวในแคว้นโทะซะ ที่ชื่อ อิวาซากิ ยะทาโร ในยุคสมัยที่แคว้นโทะซะกำลังขัดขืนการปกครองของรัฐบาลกลางที่ปกครองด้วยระบบโชกุน และคนหนุ่มในแคว้นโทะซะก่อหวอดเพื่อจะล้มล้างรัฐบาลโชกุน เพื่อสร้างระบอบการปกครองใหม่ขึ้นมา พร้อมกับสร้างโลกใหม่ที่ก้าวทันโลกภายนอก

นักปฏิวัติจากโทะซะ
แม้ว่าแคว้นโทะซะจะมีศักดินาสูงมากและใกล้ชิดกับรัฐบาลโชกุน แต่ซามูไรบริวารของแคว้นนี้ไม่จงรักภักดีต่อเจ้าแคว้นและคิดที่จะท้าทายอำนาจของรัฐบาลโชกุน พวกเขาเริ่มวางรากฐานการปฏิวัติ ด้วยการศึกษาวิทยาการตะวันตก และเริ่มสร้างองค์กรที่จะเป็นท่อน้ำเลี้ยงการปฏิวัติแกนนำคนหนุ่มนักปฏิวัติแห่งแคว้นโทะซะ คือ ชายหนุ่มชื่อ ซากาโมโตะ เรียวมะ ผู้ที่คนญี่ปุ่นทุกวันนี้ยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ
เรียวมะ ไม่ใช่แค่นักฝัน แต่เขาเป็นนักปฏิวัติที่อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง เขารู้ว่าการจะเปลี่ยนประเทศได้จะต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และสร้างธุรกิจที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับขบวนการ และผลลัพธ์ก็คือบริษัทเดินเรือไคเอ็นไต (Kaientai)
อิวาซากิ ยะทาโร ก็ตระหนักในพลังแห่งเทคโนโลยีเช่นกัน เขาเรียนวิชาการสมัยใหม่กับนักปราชญ์ที่สอนวิทยาการตะวันตก และถือเป็นคนญี่ปุ่นรุ่นแรกๆ ที่ได้เรียนรู้ความเป็นสมัยใหม่ ต่อมาเขายังได้รับมอบหมายให้ไปทำงานสร้างเรือกลไฟอันเป็นจักรกลสมัยใหม่ และสร้างอาวุธแบบใหม่ พร้อมกับประสานงานงานกับบริษัทไคเอ็นไต
และนี่เองที่ ยะทาโร ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับวีรบุรุษแห่งยุคสมัยที่กำลังจะเปิดฉากสงครามที่จะเปลี่ยนญี่ปุ่นไปตลอดกาล เขาเล่าถึงความประทับใจเมื่อพบกับ เรียวมะ เอาไว้ว่า “เราดื่มเหล้าสาเกและพูดคุยกันฉันท์มิตร ผมแบ่งปันความคิดที่ผมคิดมานานแล้ว และ เรียวมะ ก็แสดงความเห็นด้วยอย่างกระตือรือร้น”
แต่หลังจากร่วมงานกันอยู่พักหนึ่ง เรียวมะ ก็จากไปเพื่อเคลื่อนไหวการปฏิรูปในระดับชาติ ยะทาโร ไปส่งด้วยน้ำตานองหน้า เหมือนกับจะรู้ว่านั่นเป็นการพบกันครั้งสุดท้าย ก่อนที่ เรียวมะ จะถูกฝ่ายตรงข้ามลอบสังหาร
แต่การปฏิรูปที่ เรียวมะ ผลักดันไม่ได้ตายตามเขาไปด้วย ตรงกันข้ามมันแข็งแกร่งขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นการปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลโชกุนได้สำเร็จ เช่นเดียวกับบริษัทไคเอ็นไต หลังจากที่ เรียวมะ จากไป ยะทาโร มาช่วยดูแลกิจการเดินเรือต่อไป
ความฝันของ เรียวมะ ที่จะล่องเรือไปทั่วเจ็ดคาบสมุทร ตัวเขาไม่มีโอกาสได้ทำอีกต่อไป ต่เขาคงไม่รู้ว่า ซามูไรหนุ่มร่วมอุดมการณ์ที่ชื่อ ยะทาโร จะทำมันได้สำเร็จ

สงครามที่สร้างจักรวรรดิ
การปฏิวัติที่ เรียวมะ เป็นคนขับเคลื่อนลุกลามจนกลายเป็นสงคราม และจบลงด้วยการสิ้นสุดของรัฐบาลโชกุน ญี่ปุ่นกลายเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ที่ต้องการจะยิ่งใหญ่ทัดทียมชาติตะวันตก และเทคโนโลยีที่ต้องการมากเป็นพิเศษ คือการเดินเรือยะทาโร ช่ำชองในธุรกิจเดินเรือเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงตั้งบริษัทของตัวเองขึ้นมาในปี ค.ศ. 1870 ชื่อว่า Mitsubishi ที่ประกอบด้วยคำว่า ‘สาม’ (mitsu) กับคำว่า ‘เพชร’ (bishi) เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามสัญลักษณ์ของบริษัทโดยเลียนแบบตราสัญลักษณ์ของตระกูลเจ้าแคว้นโทซะ ที่ทำให้เขามีวันนี้ขึ้นมาได้ และคำว่า ‘เพชร’ สะท้อนความแข็งแกร่งและความยิ่งใหญ่ของบริษัทได้อย่างดีเยี่ยม
ยะทาโร แสดงความแกร่งดั่งเพชรออกมา เมื่อเขารอจังหวะจนบริษัทเดินเรือคู่แข่งที่ได้สัมปทานของรัฐบาลประสบกับความล้มเหลว เขาจึงนำ Mitsubishi มาแทนที่ พร้อมด้วยกองเรือมากถึง 40 ลำ และได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ 350,000 เยนต่อปี ซึ่งเป็นเงินมหาศาลในเวลานั้น
ตอนนี้ญี่ปุ่นพร้อมที่จะท่องโลกกว้างด้วยกองเรือของ Mitsubishi แล้ว
เมื่อมีธุรกิจเดินเรือก็ต้องมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกับการเดินเรือ Mitsubishi จึงเริ่มขยับขยายสู่ธุรกิจประกันภัย (จากการเดินเรือ) ธุรกิจเหมืองถ่านหิน (เพราะเรือกลไฟต้องใช้ถ่านหิน) ธุรกิจโกดังสินค้า และการค้า และการค้านำไปสู่ธุรกิจธนาคาร
และจาก ‘อาณาจักร’ ธุรกิจเดินเรือ มันทำให้ Mitsubishi ต้องไปเกี่ยวพันกับกระบวนการสร้าง ‘จักรวรรดิ’ ของญี่ปุ่น เพราะการสร้างชาติสมัยใหม่จะต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล และญี่ปุ่นมีข้อจำกัดในเรื่องนั้น จึงเริ่มมีการหารือกันถึงการขยายดินแดนไปยังดินแดนใกล้เคียง
ไต้หวัน เกาะใหญ่ของจีนสมัยราชวงศ์ชิง คือเป้าหมายแรกที่ญี่ปุ่นต้องการครอบครอง เผอิญว่าในเวลานั้นเรือของญี่ปุ่นถูกชนพื้นเมืองไต้หวันโจมตี ญี่ปุ่นจะใช้โอกาสนี้ยกทัพไปปราบ และรัฐบาลญี่ปุ่นสั่งซื้อเรือเป็นจำนวนมากจาก Mitsubishi และเมื่อเสร็จสิ้นสงครามแล้ว รัฐบาลก็คืนเรือกลับไปให้ Mitsubishi ทำให้ได้ทั้งกำไร และสายสัมพันธ์กับรัฐบาล
ในเวลาต่อมา ไต้หวันจะตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น หลังจากที่ราชวงศ์ชิงแพ้สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1
แต่ก่อนที่จะถึงเหตุการณ์นั้น ในญี่ปุ่นเกิดความวุ่นวายขึ้นเสียก่อน เพราะเกิดความวุ่นวายจากกลุ่มซามูไรของแคว้นซัตสึมะที่เคยรวมพลังกับแคว้นโทะซะทำการปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลโชกุน แต่คราวนี้ซามูไรของซัตสึมะก่อกบฏขัดขืนรัฐบาลใหม่ รัฐบาลจึงต้องยกทัพไปปราบ
และคราวนี้อีกเช่นกันที่ที่ Mitsubishi (ซึ่งเป็นบริษัทของแคว้นโทะซะ) ได้รับการว่าจ้างให้ขนส่งยุทธปัจจัยและทหารให้ เมื่อกบฏถูกปราบลงไป รัฐบาลก็ยิ่งไว้วางใจ Mitsubishi ยิ่งขึ้น
นั่นเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นรุกเข้ายึดครองเอเชียทีละน้อยๆ พอดี