ภาพการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง 5 หน่วยงานสำคัญ ที่ประกอบด้วย สภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (สภา SMEs ไทย) กับ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) และ สภา SMEs ไทย กับอีก 3 หน่วยสำคัญ คือ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย และสถาบันพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อสังคม ภายหลังที่ประชุมสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและภาคีเครือข่าย เลือก สุปรีย์ ทองเพชร เป็นประธานสภา SMEs ไทยคนใหม่ ภายหลังท่านเดิมหมดวาระ... เป็นอีกจุดชี้ให้เห็นว่า จากนี้ไปปัญหาคาราคาซังของ SMEs ไทย ที่ไม่ว่าจะเป็น การจัดหาแหล่งเงินทุน ความสามารถในการขยายตลาด ฯลฯ จะได้รับการช่วยเหลืออย่างครอบคลุม โดยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเกิดข้อพิพาทการประกอบธุรกิจ ก็จะได้รับการไกล่เกลี่ย ก่อนต้องเป็นคดีฟ้องร้อง ลดปัญหากวนใจในการประกอบธุรกิจ พร้อมกับมีการพัฒนาศักยภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังโควิด และการก่อร่างสร้างระบบขับเคลื่อนในกลไกภาครัฐ ยังเดินหน้าได้ไม่มาก รวมถึงความไม่รู้ในหลายข้อ ทำให้ SMEs ไทย เติบโตได้ไม่เต็มที่
สุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภา SMEs ไทย เผย ขณะนี้โลกมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้ามาก SMEs ไทย ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองตัวเล็กๆ ในระบบเศรษฐกิจ จึงต้องได้รับการผลักดันให้เข้าที่เข้าทางในหลากมิติ ทั้งเรื่องบีซีจี คาร์บอนฟุตปริ้นท์ การเป็นธุรกิจ S Curve ใหม่ๆ ฯลฯ สภา SMEs ไทย และทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง จึงเตรียมพร้อมขับเคลื่อนหนุนให้เติบโตได้ดี สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังเกิดขึ้น โดยขณะนี้ทุกฝ่ายมีความเข้าใจปัญหา SMEs ไทยเป็นอย่างดี และ MOU ครั้งนี้ จะเป็นกลไกลขับเคลื่อนสำคัญ หนุน SMEs เติบโตได้เป็นระบบ ขจัดปัญหาที่เคยมี พัฒนาทุกด้านได้เต็มที่
ทั้งนี้ ธุรกิจ SMEs ถือเป็นอีกกลไกสำคัญในฐานะอุตสาหกรรมรอง ที่เป็นซัพพลายเชน ของอุตสาหกรรมทั้งประเทศ SMEs จึงมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจประเทศไทยเป็นอย่างมาก ทั้งในแง่การจ้างงานที่มีผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณงานและรายได้ในครัวเรือน การสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงความหลากหลายของสินค้าและบริการ เนื่องจากครอบคลุมแทบทุกวิสาหกิจทั้งภาคการผลิต การค้าส่ง-ค้าปลีก และภาคบริการที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศไทยมหาศาล จากการผลิตเพื่อส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง และเพื่อธุรกิจ SMEs จะขยายขนาด เติบโตเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้ต่อไป
“ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย มีศักยภาพ แต่ยังก็ยังมีปัญหาอีกมากทั้งกับตัวผู้ประกอบการ และการขับเคลื่อนช่วยเหลือ การมีเครือข่ายในทุกจังหวัดเท่ากับเป็นการทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกด้าน ถูกส่งตรงมายังผู้เกี่ยวข้อง แต่เอสเอ็มอีจะต้องเข้าสู่ระบบภาษี ที่ไม่ใช่เรื่องเสียภาษี แต่เพื่อให้เข้าเงื่อนไขทางการค้า เพื่อเมื่อถึงเวลาขอตกทุกข์ได้ยาก ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะสามารถส่งความช่วยเหลือได้ทันท่วงที และความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการเตรียมพร้อมช่วยเหลือในทุกด้านเช่นกัน ขณะที่ในด้านการเติมเต็มศักยภาพ เพื่อการแข่งขันนั้น ยังมีหลายเรื่องที่ SMEs ไทย ‘ต้องรู้’ เพื่อการพัฒนา โดยเฉพาะด้าน ความสามารถในการขยายตลาด - ขนาดธุรกิจ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อีกแหล่งทุนสำคัญ ที่พร้อมให้ความรู้ และเป็นอีกช่องทางสร้างการเติบโตให้ SMEs ได้ต่อไป” สุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาเอสเอ็มอี คนใหม่ กล่าว
“ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย มีศักยภาพ แต่ยังก็ยังมีปัญหาอีกมากทั้งกับตัวผู้ประกอบการ และการขับเคลื่อนช่วยเหลือ การมีเครือข่ายในทุกจังหวัดเท่ากับเป็นการทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกด้าน ถูกส่งตรงมายังผู้เกี่ยวข้อง แต่เอสเอ็มอีจะต้องเข้าสู่ระบบภาษี ที่ไม่ใช่เรื่องเสียภาษี แต่เพื่อให้เข้าเงื่อนไขทางการค้า เพื่อเมื่อถึงเวลาขอตกทุกข์ได้ยาก ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะสามารถส่งความช่วยเหลือได้ทันท่วงที และความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการเตรียมพร้อมช่วยเหลือในทุกด้านเช่นกัน ขณะที่ในด้านการเติมเต็มศักยภาพ เพื่อการแข่งขันนั้น ยังมีหลายเรื่องที่ SMEs ไทย ‘ต้องรู้’ เพื่อการพัฒนา โดยเฉพาะด้าน ความสามารถในการขยายตลาด - ขนาดธุรกิจ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อีกแหล่งทุนสำคัญ ที่พร้อมให้ความรู้ และเป็นอีกช่องทางสร้างการเติบโตให้ SMEs ได้ต่อไป” สุปรีย์ ทองเพชร ประธานสภาเอสเอ็มอี คนใหม่ กล่าว
สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ SME D Bank จะเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุน ‘ด้านแหล่งเงิน’ ควบคู่ ‘การพัฒนา’ ตามแนวทาง ESG ให้แก่สมาชิกของสภา SMEs และภาคีเครือข่าย ที่เป็นบริษัทนิติบุคคล มากกว่า 8,000 ราย อยู่ในเครือข่ายต่าง ๆ กว่า 100 องค์กร ทั้งสมาคม ชมรม มูลนิธิ กลุ่มอุตสาหกรรม สหกรณ์ กลุ่มโอทอป และวิสาหกิจชุมชนต่างๆ กระจายอยู่ในทุกกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ นำไปสู่ประโยชน์สร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่ของระบบเศรษฐกิจไทย ก่อให้เกิดพัฒนาในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน
