เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2023 ธนาคารแห่งซิลิคอนวัลเลย์ (SVB) ไม่สามารถจ่ายเงินให้ลูกค้าได้ทัน หรือเกิด bank run กลายเป็นการล้มของธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี 2008 และใหญ่เป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
ก่อนจะไปถึงสิ่งที่ต้องกังวลเป็นสเต็ปต่อไป เรามาดูกันก่อนว่าวิกฤตครั้งนี้เกิดขึ้นจากออะไร
• เพราะโควิด-19 เช่นกัน ทำให้เศรษฐกิจซบเซาอย่างหนัก รัฐบาลสหรัฐฯ และธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำการกระตุ้นด้วยการอัดฉีดเงินที่เป็นการทั้งช่วยเหลือประชาชนโดยตรงและเพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจ จนกระทั่งเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาพร้อมๆ กับที่เงินเฟ้อสูงขึ้น และเงินยังเฟ้อมากขึ้น (หรือข้าวของแพงขึ้น) เพราะสงครามในยูเครน
• เพื่อป้องกันไม่ให้เงินเฟ้อรุนแรงไปกว่านี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จึงหันมาขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ โดยขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในอัตราหลายหลัก แต่การขึ้นดอกเบี้ยมีผลกระทบต่อพันธบัตรตรง นี่คือจุดเริ่มต้นของหายนะต่อสินทรัพย์การลงทุนที่มั่นคง ดอกเบี้ยทำให้มันไม่มั่นคง แต่สหรัฐฯ ต้องยอมเสียสละมัน เพราะภาวะเศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูงกว่า พูดง่ายๆ คือสหรัฐฯ กำลังเดิมพันเศรษฐกิจของตัวเองด้วยดอกเบี้ย
• ตามปกติ เมื่อดอกเบี้ยต่ำ ราคาพันธบัตรจะสูงแต่ผลตอบแทนการลงทุนจากพันธบัตรจะต่ำ (เพราะนักลงทุนต้องถือพันธบัตรมากกว่าเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยให้ผลตอบแทนน้อยกว่า) แต่เมื่อดอกเบี้ยขึ้นสูง พันธบัตรจะราคาถูกลง ส่วนผลตอบแทนจะสูงขึ้นมา (ผลก็คือนักลงทุนจะทิ้งพันธบัตร ไปลงทุนกับสิ่งที่โยงกับดอกเบี้ยที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า เช่น ดอลลาร์สหรัฐ)
• เมื่อ SVB นำเงินฝากไปซื้อพันธบัตรเอาไว้มาก และเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยไม่หยุด พันธบัตรจึงเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้ม แต่พวกเขากลับตัวไม่ทัน เงินสดในมือจึงมีน้อย เมื่อลูกค้าคนใดคนหนึ่งต้องการถอนเงินก้อนใหญ่อย่างฉับพลัน SVB จึงมีเงินไม่พอจ่าย เมื่อลูกค้าคนอื่นๆ เกิดอาการตื่นตระหนกว่าจะถอนเงินไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมาคือ bank run (out of cash) คือ ไม่มีเงินสดจะจ่ายคือผู้ฝากเงิน
• ลูกค้าของ SVB คือใคร? คือ บริษัทสตาร์ทอัพ (หรือวงการเทคแห่งซิลิคอนวัลเลย์) บริษัทเหล่านี้นำเงินมาฝากกับ SVB เป็นจำนวนมาก แต่เริ่มถอนเงินฝาก เนื่องจากหาเงินทุนได้ยากขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงขาลงของธุรกิจเทค สตาร์ทอัพและบิ๊กเทคยังเริ่มลดต้นทุนด้วยการปลดพนักงานจำนวนมากที่เริ่มในปี 2022 ยังทำให้ผู้ฝากเงินที่เป็นรายย่อย (หรือผู้ที่ถูกปลดจากงาน) ถอนเงินออมออกด้วย
ทั้งหมดนี้คือ "สูตรสำเร็จของหายนะ" (Recipe for Disaster) ที่เกิดขึ้นกับ SVB ซึ่งสามารถอธิบายคร่าวๆ ด้วย Infographic ต่อไปนี้
ก่อนจะไปถึงสิ่งที่ต้องกังวลเป็นสเต็ปต่อไป เรามาดูกันก่อนว่าวิกฤตครั้งนี้เกิดขึ้นจากออะไร
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
• ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ธนาคารต่างๆ มีเงินฝากไหลเข้ามามากขึ้น เพราะความกังวลของผู้คนเรื่องเศรษฐกิจ ทำให้มีการออมเงินเป็นจำนวนมาก SVB ก็เช่นกัน เงินที่ไหลเข้ามา SVB ทำไปลงทุนด้วยการซื้อพันธบัตรระยะยาวกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งตามปกติถือเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่ปลอดภัยสูง• เพราะโควิด-19 เช่นกัน ทำให้เศรษฐกิจซบเซาอย่างหนัก รัฐบาลสหรัฐฯ และธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำการกระตุ้นด้วยการอัดฉีดเงินที่เป็นการทั้งช่วยเหลือประชาชนโดยตรงและเพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจ จนกระทั่งเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาพร้อมๆ กับที่เงินเฟ้อสูงขึ้น และเงินยังเฟ้อมากขึ้น (หรือข้าวของแพงขึ้น) เพราะสงครามในยูเครน
• เพื่อป้องกันไม่ให้เงินเฟ้อรุนแรงไปกว่านี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จึงหันมาขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ โดยขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในอัตราหลายหลัก แต่การขึ้นดอกเบี้ยมีผลกระทบต่อพันธบัตรตรง นี่คือจุดเริ่มต้นของหายนะต่อสินทรัพย์การลงทุนที่มั่นคง ดอกเบี้ยทำให้มันไม่มั่นคง แต่สหรัฐฯ ต้องยอมเสียสละมัน เพราะภาวะเศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูงกว่า พูดง่ายๆ คือสหรัฐฯ กำลังเดิมพันเศรษฐกิจของตัวเองด้วยดอกเบี้ย
• ตามปกติ เมื่อดอกเบี้ยต่ำ ราคาพันธบัตรจะสูงแต่ผลตอบแทนการลงทุนจากพันธบัตรจะต่ำ (เพราะนักลงทุนต้องถือพันธบัตรมากกว่าเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยให้ผลตอบแทนน้อยกว่า) แต่เมื่อดอกเบี้ยขึ้นสูง พันธบัตรจะราคาถูกลง ส่วนผลตอบแทนจะสูงขึ้นมา (ผลก็คือนักลงทุนจะทิ้งพันธบัตร ไปลงทุนกับสิ่งที่โยงกับดอกเบี้ยที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า เช่น ดอลลาร์สหรัฐ)
• เมื่อ SVB นำเงินฝากไปซื้อพันธบัตรเอาไว้มาก และเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยไม่หยุด พันธบัตรจึงเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้ม แต่พวกเขากลับตัวไม่ทัน เงินสดในมือจึงมีน้อย เมื่อลูกค้าคนใดคนหนึ่งต้องการถอนเงินก้อนใหญ่อย่างฉับพลัน SVB จึงมีเงินไม่พอจ่าย เมื่อลูกค้าคนอื่นๆ เกิดอาการตื่นตระหนกว่าจะถอนเงินไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมาคือ bank run (out of cash) คือ ไม่มีเงินสดจะจ่ายคือผู้ฝากเงิน
• ลูกค้าของ SVB คือใคร? คือ บริษัทสตาร์ทอัพ (หรือวงการเทคแห่งซิลิคอนวัลเลย์) บริษัทเหล่านี้นำเงินมาฝากกับ SVB เป็นจำนวนมาก แต่เริ่มถอนเงินฝาก เนื่องจากหาเงินทุนได้ยากขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงขาลงของธุรกิจเทค สตาร์ทอัพและบิ๊กเทคยังเริ่มลดต้นทุนด้วยการปลดพนักงานจำนวนมากที่เริ่มในปี 2022 ยังทำให้ผู้ฝากเงินที่เป็นรายย่อย (หรือผู้ที่ถูกปลดจากงาน) ถอนเงินออมออกด้วย
ทั้งหมดนี้คือ "สูตรสำเร็จของหายนะ" (Recipe for Disaster) ที่เกิดขึ้นกับ SVB ซึ่งสามารถอธิบายคร่าวๆ ด้วย Infographic ต่อไปนี้
สิ่งกำลังเกิดขึ้น
• บริษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลาง (FDIC) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามากอบกู้สถานการณ์ ด้วยการเข้าเทคโอเวอร์กิจการของ SVB และเข้าดำเนินการแทนในสาขาที่ยังพอไปไหว เพื่อรับประกันว่าลูกค้าจะถอนเงินได้ และขายกิจการของ SVB ที่ไปไม่ไหว ทั้งหมดนี้เพื่อรับประกันความเชื่อมั่นของประชาชน เพราะหากเกิดความตื่นตระหนกขึ้น วิกฤตนี้จะลุกลามไปธนาคารอื่นๆ ด้วย• สิ่งที่ FDIC คือ ระบบประกันเงินฝาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกจนแห่ถอนเงิน บางครั้ง FDIC ถึงกับต้องเข้าไปเทคโอเวอร์กิจการเงียบๆ โดยไม่ให้ใครรู้ แล้วรีบเคลียร์ปัญหาเพื่อเปิดกิจการธนาคารนั้นๆ ต่อไปในวันรุ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้คนตื่นตระหนก เพราะความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่เปราะบางมาก มันอาจทำให้เกิด “การระบาดทางการเงิน” (Financial contagion) ที่เกิดจากความกลัวจนกระทั่งคนแห่ไปถอนเงินในธนาคารอื่นๆ ที่ไม่ได้เกิดปัญหาด้วย
• ประธานธิบดี โจ ไบเดน จึงต้องกล่าวย้ำกับประชาชนว่า “ชาวอเมริกันสามารถมั่นใจได้ว่าระบบธนาคารปลอดภัย เงินฝากของคุณจะอยู่ที่นั่นเมื่อคุณต้องการ” เพราะถ้าไม่บอกอย่างนี้ ธนาคารจะเกิด bank run แล้วล้มกันต่อๆ ไปเหมือนโดมิโน ไบเดน ยังย้ำด้วยว่า เงินที่นำไปอุ้ม SVB ไม่ได้มาจากภาษีประชาชน แต่มาจากค่าธรรมเนียมที่เก็บจากสถาบันการเงินที่ร่วมในกองทุนเงินฝาก (Deposit Insurance Fund) และเขายังย้ำด้วยว่า ฝ่ายบริหารชั้นนำของธนาคารที่ถูกอุ้มจะต้องถูกไล่ออกหลังการเทคโอเวอร์โดย FDIC
สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น
• ไบเดน มีเหตุผลที่จะต้องย้ำว่าเงินอุ้มธนาคารไม่ได้มาจากภาษีประชาชน และย้ำว่าผู้บริหารธนาคารใหญ่ๆ จะต้องถูกไล่ออกไป เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ เคยถูกโจมตีอย่างหนัก หลังเข้าไปอุ้มสถาบันการเงินต่างๆ ช่วงวิกฤตการเงินปี 2007-2008 นอกจากจะใช้ภาษีประชาชนไปอุ้มคนรวยแล้ว ผู้บริหารสถาบันการเงินยังอยู่ดีมีสุขกันต่อไป และยังเงินโบนัสด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่ระบบการเงินของประเทศพังยับเยิน• ไบเดนจึงย้ำว่า “นักลงทุนในธนาคารจะไม่ได้รับการคุ้มครอง พวกเขารู้เท่าทันความเสี่ยง และเมื่อความเสี่ยงไม่ได้ผล นักลงทุนก็ต้องสูญเสียเงินของพวกเขา นั่นคือวิธีการทำงานของระบบทุนนิยม” คำพูดนี้ถ้าฟังแบบไม่คิดมาก อาจจะหมายถึงเฉพาะนักลงทุนของ SVB แต่เอาจริงๆ คงไม่ได้หมายถึงนักลงทุนแค่นั้นแน่ๆ เพราะต้นตอปัญหาที่แท้จริงๆ ไม่ใช่การบริหารที่ผิดพลาด แต่มาจากการขึ้นดอกเบี้ยแบบไม่ยั้งมือจากทางการสหรัฐฯ เอง
• ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ทางที่ดีสรุปกันก่อนว่านักลงทุนนอกสหรัฐฯ เจอผลกระทบจาก SVB แค่ไหน? ส่วนที่เกี่ยวข้องอยู่บ้างคือพวกกองทุนต่างๆ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนบำนาญ บางกองทุนมีความเสี่ยง (Exposure) จากวิกฤตนี้ แต่โดยรวมแล้วไม่มีกองทุนไหนที่ถึงกับล่มสลายตามกันไป
• อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงไม่ได้มีแค่จาก SVB แต่ตัวการใหญ่อยู่ที่การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และผลของมันต่อตลาดพันธบัตร และตลาดพันธบัตรคือการลงทุนที่ค่อนข้างปลอดภัยและมั่นคง ทว่า หลังการขึ้นดอกเบี้ยแบบเอาเป็นเอาตาย มันทำให้นักลงทุนที่เชื่อมั่นกันพันธบัตรกลายเป็นพวกที่เดิมพันพลาด (ทั้งที่ไม่ควรพลาด) และนักลงทุนเหล่านี้มักเป็นนักลงทุนสถาบันด้วย ผลก็คือมันทำให้เกิด Financial contagion ได้ง่าย และอาจส่งผลต่อกองทุนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนนับพันล้านในที่สุด
• ความน่ากลัวของเรื่องนี้ก็คือ มันเกิดขึ้นมาแล้วกับกองทุนบำนาญขอสหราชอาณาจักรเมื่อช่วงปลายปี 2022 ซึ่งเป็นคอขาดบาดตายมาก เพราะหากมันล้มขึ้นมา เงินออมของคนอังกฤษจะพินาศในพลัน ถามว่าอะไรที่ทำให้กองทันบำนาญเกือบจะพินาศ? คำตอบก็อยู่ที่ความเชื่อมั่นในพันธบัตรรัฐบาล เชื่อมั่นเสียจนไม่คาดคิดว่ามันจะถูกธนาคารกลางต่างๆ เอามาเป็นเครื่องสังเวยการขึ้นดอกเบี้ยนั่นเอง