เปิดดาต้าหาความจริง ทำไมแม่ฮ่องสอนถึงไม่หลุดพ้นจากความจนที่สุด?

17 มีนาคม 2566 - 08:34

What-data-tells-us-about-mae-hong-son-the-poorest-province-of-thailand-SPACEBAR-Thumbnail
  • แม่ฮ่องสอนมีฉายาว่า ‘ไซบีเรียเมืองไทย’ ซึ่งไม่ได้มาด้วยความบังเอิญ

  • แต่เพราะการเมืองหรือภูเขาที่ทำให้จังหวัดนี้ยากจน จนไล่ไม่ทันจังหวัดอื่น

ความจนสามารถวัดได้ที่รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน และเราพบว่าแม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่รายได้รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนที่สุดแห่งหนึ่ง จากตัวเลขปี 2564 โดยสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนของแม่ฮ่องสอนอยู่ที่ 15,495.95 บาท ซึ่งต่ำที่สุดในประเทศไทย และในปี 2547 เคยต่ำถึง 8,675.94 บาท ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มที่รายได้ต่ำที่สุด และยังเคยเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่จังหวัดที่รายได้ในเวลานั้นไม่ถึงหลักหมื่น  

ไซบีเรียของเมืองไทย 

แม่ฮ่องสอนเคยมีฉายาว่า ‘ไซบีเรียเมืองไทย’ เพราะแต่ก่อนเป็นพื้นที่กันดาร เดินทางยากลำบากที่สุดถึงที่สุด อยู่ประชิดชายแดนเมียนมาที่เต็มไปด้วยป่าเขา และยังชุกชุมด้วยโรคป่านานาชนิด (ซึ่งผู้เขียนเคยลิ้มรสชาติมันมาด้วยตัวเองแล้ว)  

ความกันดารของแม่ฮ่องสอนจะเห็นได้จากการอัตราการจ่ายเบี้ยกันดารที่เสี่ยงภัยต่อโรคภัยไข้เจ็บในสมัยก่อน (ดู พ.ร.ฎ. กำหนดท้องที่กันดารฯ พ.ศ. 2500) ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้จ่ายครอบคลุมทั้งจังหวัด ต่างจากจังหวัดอื่นที่จะมีพื้นที่กันดารเฉพาะบางอำเภอเท่านั้น 

ข้าราชการคนไหนถูกย้ายมาประจำที่แม่ฮ่องสอน จึงเหมือนกับคนรัสเซียถูกส่งไปอยูที่ไซบีเรีย นั่นคือถูกส่งไปทรมานหรืออย่างร้ายที่สุดคือถูกส่งไปรอความตายที่นั่น ข้าราชการไทยสมัยก่อนก็เช่นกัน บางคนที่ถูกส่งไปแม่ฮ่องสอนจึงมักคิดน้อยใจว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้ง  

อย่างที่ ปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ นักเขียนสารคดีที่ขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่วเมืองไทยเคยเขียนไว้ว่าแม่ฮ่องสอน “เป็นแดนเนรเทศข้าราชการ” (จากหนังสือ ‘รักเมืองไทย เที่ยวเมืองไทย’ หน้า 126 ปี 2523 โดยปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ) เช่นเดียวกับนักเขียนผู้คร่ำหวอดเรื่องป่าและชีวิตคนชายแดนภาคเหนืออย่าง สังคีต จันทนะโพธิ ก็กล่าวไว้ว่า “ในสมัยก่อนๆ ทางการมักส่งข้าราชการที่มีความผิดไปอยู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน” (จากหนังสือ ‘วิญญาณไพร’ หน้า 72 ปี 2540  โดยสังคีต จันทนะโพธิ)  

แม่ฮ่องสอนสวยแต่จน 

แม่ฮ่องสอนไม่ได้เลวร้ายเหมือนไซบีเรีย ตรงกันข้าม ที่นี่คือจังหวัดที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง ผู้คนจิตใจงดงาม อาหารถูกปาก แม้จะเดินทางลำบาก (แม้กระทั่งทุกวันนี้) แต่เมื่อไปถึงแล้วจะหลงรักที่นั่นจนไม่อยากย้ายตัวเองออกมา  

แต่แม่ฮ่องกงสอนมีปัญหาใหญ่อย่างหนึ่ง นั่นคือเป็นจังหวัดที่ครองตำแหน่ง ‘จังหวัดที่ยากจนที่สุดในประเทศไทย’ หลายปีติดต่อกัน หากจะนับสถิติตั้งแต่ปี 2543-2564 เราจะพบว่า แม่ฮ่องสอนครองตำแหน่ง ‘จนที่สุดในไทย’ มากกกว่าจังหวัดไหนๆ
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/55GvfkygcUPjKThqRfOXal/59dca5c4bd0115158861f4f9d7889cfc/info_What-data-tells-us-about-mae-hong-son-the-poorest-province-of-thailand__1_

สิ่งที่ได้จากดาต้า (Key takeaways) 

  • แม่ฮ่องสอนครองอันดับ 1 จังหวัดที่จนที่สุด เป็นจำนวนหลายปีที่สุด คือ 11 ปี จากสถิติระหว่างปี 2543-2564 
  • แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่ติดอัน 1 จนที่สุดติดต่อกันนานที่สุด 9 ปี ระหว่างปี 2549-2557 
  • ช่วงที่แม่ฮ่องสอนยากจนติดต่อกันนานที่สุดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคประชาธิปัตย์ 
  • ช่วงที่แม่ฮ่องสอนยากจนติดต่อกันนานที่สุดอยู่ในช่วงเวลาประชาธิปไตย คือช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล โดยมีระยะเวลาใกล้เคียงกัน คือประมาณ 3 ปีครึ่ง 
  • เมื่อรวมพรรคพลังประชาชนเข้าไปด้วย จะพบว่าช่วงที่ ‘พรรคในเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร’ เป็นรัฐบาล เป็นช่วงที่แม่ฮ่องสอนยากจนที่สุด คือประมาณ 4 สมัยรัฐบาลพลเรือน 
  • เมื่อรวมช่วงเวลาของรัฐบาลทหารเข้าไปด้วย จะพบว่าช่วงเวลาที่แม่ฮ่องสอนยากจนที่สุด ไม่ได้อยู่ในช่วงรัฐบาลพลเรือน แต่อยู่ในช่วงที่ประเทศปกครองโดยทหาร คือ ช่วง คปค. และ รสช.รวมกัน 4 ปีครึ่ง 
  • ปัตตานีครองอันดับ 1 เป็นเวลา 3 ปี ติดต่อกันระหว่างปี 2562 - 2564 แทนที่แม่ฮ่องสอนในระยะหลัง

ทำไมแม่ฮ่องสอนถึงจน? 

สถิติข้างต้นไม่ได้ตอบคำถามว่าทำไมแม่ฮ่องสอนถึงจนที่สุดในประเทศไทย เพราะความยากจนมีองค์ประกอบหลายอย่าง จากข้อสรุปของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีดังนี้  
  • ภูมิประเทศเข้าถึงลำบาก อีกทั้งการตั้งถิ่นฐานของประชากรส่วนใหญ่ 87% อยู่ในชนบทนอกเขตเทศบาล 
  • พื้นที่จังหวัดเต็มไปด้วยภูเขาทำให้มีที่ทำกินน้อย พื้นที่ทำการเกษตรแค่ 2.5% ของพื้นที่ทั้งจังหวัด 
  • ประชาชนมีการศึกษาไม่สูงนัก แรงงานที่มีงานทำ 33.5% ไม่มีการศึกษา มีเพียง 33.6% ที่จบการศึกษาในระดับประถมศึกษาหรือต่ำกว่า  
  • บริการสาธารณสุข การศึกษา และบริการพื้นฐานของรัฐยังไม่ได้คุณภาพ และไม่ทั่วถึง เนื่องจากพื้นที่เป็นภูเขาสูง ชุมชนกระจายห่างไกล 
  • จำนวนแพทย์ในแม่ฮ่องสอนมีเพียง 85 คน (ปี 2564) หรือแพทย์ 1 คนต้องดูแลประชากร 2,838 คน เป็นอัตราแพทย์ต่อประชาชนจังหวัดที่น้อยที่สุดในภาคเหนือ

ข้อสังเกตด้านการเมือง 

แต่สิ่งสำคัญที่จะแก้ปัญหาความยากจนให้คืบหน้าก็คือปัจจัยด้านรัฐศาสตร์ (การเมือง) ซึ่งในมิตินี้คือสมาชิกผู้แทนราษฏรระดับต่างๆ เช่น สมาชิกสภานิติบัญญัติ (ส.ส.) หรือหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น และในแง่รัฐประศาสนศาสตร์ (การบริหารการปกครอง) คือ ข้าราชการประจำ หรือการปกครองส่วนภูมิภาค ข้อสังเกตในเชิงนโยบายสิ่งที่เราพบก็คือ
  • เทียบงบประมาณกับจังหวัดอื่นๆ พบว่าแม่ฮ่องสอนได้รับงบประมาณน้อย  
จาก ‘รายงานการวิเคราะห์งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564’ ของสำนักงบประมาณของรัฐสภา ระบุว่า “จังหวัดที่มีปัญหาความยากจนเรื้อรังในช่วงปี 2552 – 2561 คือ แม่ฮ่องสอน ปัตตานี ศรีสะเกษ นราธิวาส ตาก กาฬสินธุ์ และนครพนม ดังนั้น จังหวัดเหล่านี้ ถือเป็นจังหวัดกลุ่มเป้าหมายที่ควรให้ความสำคัญลำดับแรกในการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและยกระดับคุณภาพชีวิต อย่างไรก็ตามจังหวัดเหล่านี้ยังคงได้รับงบประมาณในสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ๆ โดยจังหวัดที่มีความยากจนเรื้อรังข้างต้นไม่ได้อยู่ในจังหวัดที่ได้รับงบประมาณสูงสุด 5 อันดับแรกเลยแม้แต่จังหวัดเดียว” 
  • แม้จะได้รับงบประมาณน้อย แต่มีงบประมาณเหลือจากที่ได้รับจากส่วนกลาง
เช่น เมื่อปี 2564 ได้รับงบประมาณ 241.5 ล้านบาท เบิกจ่ายไปเพียง 91.90 ล้านบาท ถือว่าใช้น้อยที่สุดในประเทศ ซึ่งประเด็นเรื่องหน่วยงานภาครัฐใช้งบประมาณเหลือเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันพอสมควร บางทัศนะระบุว่าการใช้งบประมาณเหลือใช้อาจจะสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการวางแผนงบประมาณ ข้อสังเกตก็คือจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีอัตราความยากจนสูง แต่กลับใช้งงบประมาณน้อยกว่าที่ขอไป แต่ในเรื่องนี้อาจจะต้องพิจารณาอย่างละเอียดต่อไปว่า งบประมาณเหลือเกิดขึ้นเพราะการบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพหรือเพราะปัจจัยอื่น และที่จริงแล้วการคืนงบประมาณเหลือเป็นเรื่องที่ควรชมเชย หรือว่าเป็นเรื่องที่สะท้อนความบกพร่องกันแน่
  • ผู้ว่าราชการจังหวัดดำรงตำแหน่งช่วงสั้นๆ แค่ 1 ปีแล้วถูกโยกย้าย
อย่างที่กล่าวไว้ใสนตอนต้นของบทความ ในสมัยก่อนการโยกย้ายมาประจำแม่ฮ่องสอนยังถูกมองว่าเป็นการลงโทษหรือกลั่นแกล้ง แต่นั่นเป็นปัญหาในอดีต (ที่อาจส่งผลต่อรากฐานการพัฒนาของแม่ฮ่องสอนในเวลาต่อมาด้วย) ปัญหาปัจจุบันที่แม่ฮ่องสอนมีร่วมกันกับจังหวัดอื่นๆ คือ ผู้ว่าฯ ดำรงตำแหน่งแค่ช่วงสั้นๆ แล้วจากไป ข้อมูลเว็บไซต์ The Active ที่รวบรวมข้อมูลย้อนหลังจนถึงปี 2553 พบว่าค่าเฉลี่ยการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ ในแต่ละจังหวัดนั้นอยู่ที่คนละ 1 ปี 1 เดือน เมื่อลงในรายจังหวัดพบว่า จังหวัดที่มีการเปลี่ยนตัวผู้ว่ามากที่สุดในรอบ 14 ปีคือ ปัตตานี จำนวน 12 คน (จังหวัดปัตตานีครองแชมป์จังหวัดที่จนที่สุดในปัจจุบัน) ส่วนแม่ฮ่องสอน (รั้งที่ 3 จนที่สุดจากการสำรวจล่าสุดแต่เป็นอดีตแชมป์หลายสมัย) ในรอบ 14 ปีเปลี่ยนผู้ว่าฯ มาแล้ว 9 คน
  • นักการเมืองที่กุมตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมักเป็นเครือญาติกัน
​​​​​​​นี่เป็นข้อสังเกตที่จากการศึกษาเรื่อง ‘นักการเมืองท้องถิ่นจังหวัดแม่ฮ่องสอน’ โดยสถาบันพระปกเกล้า พบว่านักการเมืองในแม่ฮ่องสอนที่เป็นญาติกัน เช่น นายบุญเลิศ สว่างกุล เป็นญาติกับนายปัญญา จีนาคำ โดยนายบุญเลิศ สว่างกุล เป็น ส.ส. ที่ดำรงตำแหน่งหลายสมัยที่สุดของจังหวัดในช่วงก่อนปี 2540 (4 สมัย พรรคประชาธิปัตย์) ส่วนนายปัญญา จีนาคำ ซึ่งเป็น ส.ส. หลายสมัยที่สุดหลังช่วงปี 2540 จนถึงปัจจุบัน (5 สมัย พรรคประชาธิปัตย์) อย่างไรก็ตาม ลักษณะการเมืองแบบเครือญาตินี้มักได้ทั่วไปในจังหวัดอื่นๆ ด้วย

ณ เวลาที่เขียนบทความนี้ แม่ฮ่องสอนหล่นจากตำแหน่งจังหวัดที่จนที่สุดในไทย แต่ก็ยังไม่ได้ถอยห่างจากจากอันดับต้นๆ ของความจนที่สุด อย่างไรก็ตาม ในบทความต่อไป เราจะมาสำรวจข้อมูลกันว่าอะไรที่ทำให้แม่ฮ่องสอนหลุดพ้นจากความเป็นจังหวัดยากจนที่สุดได้

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์