มีรายงานข่าวว่า ปัจจุบันตลาดรถยนต์มือสองกำลังปั่นป่วนหนัก และส่อเค้าว่าจะมีปัญหา เนื่องจากมีปริมาณที่เกิดจากหนี้เสียพุ่งทะยานสูงสุดนับตั้งแต่เกิดโควิด-19หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บรรดาบริษัทไฟแนนซ์ ที่ปล่อยกู้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์พยายามที่จะประคับประคองช่วยลูกหนี้ที่มีปัญหาตามมาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ร้องขอให้ช่วยลูกหนี้เช่าซื้อ โดยมีการผ่อนปรนมาแล้วถึง 3 ระยะแต่สถานการณ์ก็ทำท่าจะทรุดหนักลงไปเรื่อย ๆ
จากตัวเลขหนี้เสีย NPL ที่ขาดชำระเกิน 90 วัน ในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีจำนวนบัญชีสูงถึง 707,365 บัญชี มูลค่า 205,880 ล้านบาท และหากดูเฉพาะลูกหนี้เช่าซื้อรถยนต์ ที่ประสบปัญหาในช่วงโควิด-19 หรือที่เรียกว่า กลุ่มรหัส 21 ที่บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือ เครดิตบูโร ติด “แท็ค” ให้ปรากฏว่าตัวเลขล่าสุดในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีหนี้เสียสูงถึง 85,529 บัญชี คิดเป็นมูลค่ากว่า 3.76 หมื่นล้านบาท
เมื่อกลายเป็นหนี้เสีย ลูกหนี้เช่าซื้อรถยนต์เหล่านี้ก็จะถูกยึดรถ เพื่อนำไปประมูลขายทอดตลาด แต่ด้วยจำนวนรถที่ถูกยึดมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการประมูลขายทอดตลาด ระดับราคาประมูลก็มีแนวโน้มลดลงอย่างน่าตกใจ
ปริมาณรถที่ล้นตลาดนี้ กดดันราคารถมือสอง ลดลงรุนแรงมาก ประกอบกับตลาดรถมือสองก็อยู่ในภาวะชะงักงัน ความต้องการลดลงจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น และราคาน้ำมันที่ปรับตัวค่อนข้างสูง ทำให้ผู้บริโภคที่ยังพอมีกำลังซื้อไม่สนใจซื้อรถมือสอง เนื่องจากนอกจากจะมีภาระดอกเบี้ยสูงกว่ารถใหม่ป้ายแดงแล้ว คนจำนวนหนึ่งยังหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV เพิ่มขึ้นกว่าที่คาด
ปัจจุบันจำนวนรถยนต์เข้าลานประมูลเพิ่มมากขึ้น แต่เนื่องจากตลาดไม่สดใส ทำให้บรรดาเต็นท์รถ กดราคาจบในการประมูลลดลงเรื่อย ๆ
ปัญหาที่ลูกหนี้จะต้องเผชิญ ก็คือ นอกเหนือจากจะโดนยึดรถไปแล้ว แต่หากราคาประมูล ต่ำกว่ายอดหนี้คงเหลือ ก็ต้องจ่ายหนี้ส่วนต่าง หรือที่เรียกว่า “ติ่งหนี้” และต้องตามไปเคลียร์ให้หมด ที่กำลังจะกลายเป็นปัญหาหนักสำหรับบรรดาลูกหนี้ในอนาคต
ในสภาพการณ์ดังกล่าวที่รุมเร้าไปด้วยเรื่องร้าย ๆ ดอกเบี้ยขึ้น ข้าวของแพง รายได้ยังไม่ฟื้น และราคาน้ำมันคงจะตามมาเร็ว ๆ นี้จากสถานการณ์ที่ตะวันออกกลางอะไรคือคำตอบในสภาวะการณ์เช่นนี้