นนท์ หิรัญเชรษฐ์สกุล นายกสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์ จ.เชียงใหม่ (ภาคเหนือ) เปิดเผยถึงสรุปภาวะตลาดอสังหาริมทรัย์ของจังหวัดเชียงใหม่ ในปี 2567 ว่า ธุรกิจโดยภาพรวมถือว่าถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะปัญหาหนี้เสียสูงมาก และสถาบันการเงินคุมเข้มสินเชื่อ กระทบต่อกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่น ที่ต้องพึ่งพาการขอสินเชื่อให้กับลูกค้า ขณะที่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ส่วนกลาง แม้สายป่านจะมีมากกว่า และมีช่องทางในการจัดหาสินเชื่อให้แก่ลูกค้า แต่ก็มีการพิจาณาการซื้อขายมากขึ้น
ในปี 2566 จังหวัดเชียงใหม่มีมูลค่าการซื้อขาย และโอนที่ดินประมาณ 27,000 ล้านบาท แต่ปี 2567 ลดลงไปเกือบร้อยละ 50 เพราะประเทศไทยเจอภาวะการเมืองขาดเสถียรภาพ และเศรษฐกิจทรุดตัว ถือว่าเป็นสัญญาณที่น่ากังวล

สำหรับปี 2568 คาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจังหวัดเชียงใหม่ น่าจะขยายตัวลดลงอีก จากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และกำลังซื้อของผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยยังไม่ฟื้นตัว มีผลทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ในภาวะล้นตลาด
“ขณะนี้จังหวัดเชียงใหม่มีบ้าน และคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จ พร้อมขาย ยังคงค้างสต็อกประมาณ 10,000 ยูนิต แบ่งเป็นบ้าน ประมาณร้อยละ 70 และคอนโดมิเนียมร้อยละ 30 มูลค่ารวมที่รอการระบายไม่น่าจะต่ำว่า 30,000 ล้านบาท และแม้ว่าลูกค้าจะมีความต้องการสูง แต่เมื่อขาดสินเชื่อมาสนับสนุน ไม่เพียงแต่กระทบภาคอสังหาริมทรัพย์แล้ว ก็จะกระทบไปยังภาคก่อสร้าง ภาคอุปโภคบริโภค และการจ้างงานด้วย”

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปลายปี 2566 ถึงปัจจุบัน มีโครงการบ้านจัดสรรที่ได้รับการอนุญาตจำนวน 109 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมรอขาย ส่วนการลงทุนใหม่ คาดว่ากลุ่มนักลงทุน ต่างรอประเมินทิศทางการลงทุน จึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้ขับเคลื่อนต่อไปได้ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในช่วงขาลงมาหลายปี รวมถึงหาทางออกให้กับปัญหาหนี้เสียที่กำลังน่าเป็นห่วงให้กลับมาสู่ภาวะปกติ
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ ระบุว่า ภาวะอสังหาริมทรัพย์ภาคเหนือ ไตรมาสที่ 3 ปี 2567 หดตัวน้อยลงจากไตรมาสก่อน อุปทานที่อยู่อาศัยใหม่ลดลงตามยอดขายและสต็อกเหลือขายสูง
ในระยะต่อไปคาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงทรงตัว เนื่องจากสถาบันการเงิน ยังคงระมัดระวังการให้สินเชื่อ
ส่วนแนวโน้มภาคอสังหาริมทรัพย์ สถาบันการเงินยังคงระมัดระวังการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และผู้ต้องการซื้อบ้าน รวมถึงกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัวในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มอาชีพอิสระ
