Bitget เผยนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าหรือ Tariffs ของสหรัฐฯ กดดันราคาสินทรัพย์เสี่ยงทุกวงการ ไม่เว้นวงการคริปโท เหตุ Bitcoin มีสถานะใกล้เคียงกับหุ้นเทคโนโลยีในดัชนี Nasdaq แต่ภาพรวมแนวโน้มกระแสเงินลงทุนยังไหลเข้ากองทุน Bitcoin ETF อย่างต่อเนื่องในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง ช่วยหนุนราคาสามารถยืนเหนือ 80,000 ดอลลาร์ ไว้ได้ ขณะที่ Ethereum มีความเสี่ยงขาลงมากกว่า
นางสาวเกรซี่ เฉิน (Gracy Chen) กรรมการผู้จัดการของ บิตเก็ต (Bitget) แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีและบริษัท Web3 ชั้นนำของโลก กล่าวว่าตลาดการลงทุนกำลังจับตาการประกาศนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าหรือ Tariffs ของสหรัฐฯที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศในวันที่ 2 เมษายนนี้ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ทั้งนี้ตามสถิติในอดีต มาตรการปกป้องทางการค้าลักษณะนี้มักส่งผลให้เกิดภาวะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในสินทรัพย์ต่าง ๆ และตลาดคริปโทอาจไม่ได้รับการยกเว้น เนื่องจากปัจจุบัน Bitcoin กำลังเคลื่อนไหวคล้ายกับหุ้นเทคโนโลยีมากขึ้น โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq บ่งชี้ว่านักลงทุนสถาบันมอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์ประเภทเดียวกับหุ้นเทคโนโลยีโดยปัจจัยบวกในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเช่น ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์และการยอมรับในระดับสถาบัน ช่วยกระตุ้นความมั่นใจในระบบนิเวศของสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีโดยรวม
“ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่าง Bitcoin และหุ้นเทคโนโลยีอาจเป็นดาบสองคม เพราะหากหุ้นเทคโนโลยีปรับฐาน Bitcoin อาจได้รับแรงกดดันไปด้วย ความผันผวนและภาวะฟองสบู่ทางการเก็งกำไรยังคงเป็นความเสี่ยง แม้ในภาวะตลาดขาขึ้น” นางสาวเกรซี่ เฉิน กล่าว
ปัจจุบันค่าความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัลและตลาดการเงินแบบดั้งเดิมอยู่ในระดับที่สูงขึ้นโดยความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin และดัชนี Nasdaq อยู่ที่ระดับ 0.67 ถือว่ามีความสัมพันธ์ระดับสูง ถ้าหากตลาดหุ้นปรับตัวลงจะกดดันตลาดคริปโทในทางเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนสถาบันยังคงให้ความสนใจลงทุนใน Bitcoin โดยมองว่าเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากปัจจัยมหภาคได้ เห็นได้ชัดเจนว่ากองทุน Bitcoin ETF ยังคงมีกระแสเงินไหลเข้าต่อเนื่อง ตรงข้ามกับ Ethereum ที่ยังคงมีเม็ดเงินไหลออกจากกองทุน ETF โดยมองว่าประสิทธิภาพการทำงานในฐานะ Smart Contract แย่กว่าแพลตฟอร์มอื่น
นายไรอัน ลี (Ryan Lee) หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ Bitget Research ให้มุมมองกราฟเทคนิคของ Bitcoin คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 80,000 - 86,000 ดอลลาร์ ขณะที่ Ethereum อยู่ในกรอบ 1,600 - 2,200 ดอลลาร์ ต้องจับตาราคา Ethereum ถ้าหากแนวรับที่ 1,600 ดอลลาร์ ไม่สามารถรับอยู่อาจกระตุ้นให้เกิดการบังคับขาย (liquidation) กว่า 336 ล้านดอลลาร์ ในแพลตฟอร์มปล่อยกู้แบบ DeFi ซึ่งอาจทำให้เกิดแรงขายต่อเนื่องและเร่งให้ราคาร่วงลงเร็วขึ้น
