ขาลง ‘ธุรกิจคริปโทฯ’ บริษัทแห่ปิดกิจการ-ล้มละลาย

2 ธันวาคม 2565 - 04:45

bitcoin-btc-ether-eth-fall-as-ftx-collapse-ripples-through-market-SPACEBAR-Thumbnail
  • การล้มละลายของเอฟทีเอ็กซ์สร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมคริปโทฯ เป็นวงกว้าง

  • มาร์ค โมเบียส" กล่าวว่า บิตคอยน์ยังคงมีแนวโน้มดิ่งลงต่อไป โดยจะแตะระดับ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ

  • BlockFi เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ไปไม่รอด ประกาศล้มละลายอีกรายเมื่อวันที่ 28 พ.ย.

ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงขาลงธุรกิจคริปโทเคอร์เรนซีโลกเลยก็ว่าได้ บริษัทหลายแห่งทยอยปิดตัว บ้างก็ล้มละลาย บ้างก็เริ่มเคลื่อนไหวบางอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งรับสถานการณ์ที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ในการทำธุรกิจเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลชนิดนี้  

ล่าสุด ‘เจเนซิส’ บริษัทให้บริการปล่อยกู้คริปโทฯ กำลังหารือทีมกฎหมายเพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจ เลี่ยงเผชิญหน้าล้มละลายเหมือนรายอื่นๆ 

เจเนซิส บอกว่า บริษัทกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะล้มละลาย หลังจากสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานเมื่อวันอังคาร (29 พ.ย.) ว่า เจเนซิสกำลังดำเนินการร่วมกับทีมทนายความที่รับผิดชอบด้านการปรับโครงสร้าง เพื่อหลีกเลี่ยงการล้มละลาย 

แหล่งข่าวเปิดเผยกับบลูมเบิร์กว่า บริษัทพรอสเคเออร์ โรส และบริษัทเคิร์กแลนด์ แอนด์ เอลลิส เป็นสองบริษัทด้านกฎหมาย กำลังให้คำปรึกษาแก่กลุ่มเจ้าหนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เจเนซิสเผชิญสถานการณ์แบบเดียวกับเอฟทีเอ็กซ์ (FTX) ที่ล้มละลายอย่างรวดเร็ว 

“เป้าหมายของเราคือแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในธุรกิจการปล่อยกู้คริปโทฯ โดยไม่ให้เกิดการล้มละลาย” โฆษกของเจเนซิสกล่าว 

เดราร์ อิสลิม รักษาการซีอีโอของเจเนซิส กล่าวว่า “เราได้เริ่มปรึกษาหารือกับลูกค้ารายใหญ่ รวมทั้งกลุ่มเจ้าหนี้และผู้ปล่อยกู้รายใหญ่ของเรา ซึ่งรวมถึงบริษัทเจมินี และดีซีจี เพื่อคลี่คลายปัญหาสภาพคล่องในธุรกิจการกู้ยืมของเรา และตอบสนองความต้องการของลูกค้า” 

โดยเมื่อวันที่ 16 พ.ย. บริษัทเจเนซิสตัดสินใจระงับการถอนเงินของลูกค้า โดยอ้างถึงผลกระทบจากการล้มละลายของบริษัทเอฟทีเอ็กซ์ ขณะที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานเมื่อไม่นานมานี้ว่า เจเนซิส พยายามหาแหล่งเงินกู้ฉุกเฉินวงเงิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากบรรดานักลงทุน ก่อนที่บริษัทจะระงับการถอนเงินบนเว็บไซต์ โดยเจเนซิสประสบปัญหาสภาพคล่อง เนื่องจากสินทรัพย์ที่อยู่ในงบดุลบัญชีนั้น เป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีสภาพคล่อง 

การล้มละลายของเอฟทีเอ็กซ์สร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมคริปโทฯ เป็นวงกว้าง โดยทำให้บริษัทต่าง ๆ ที่ลงทุนในเอฟทีเอ็กซ์เผชิญกับปัญหาสภาพคล่อง และยังทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกำกับดูแลของหลายประเทศต้องยื่นมือเข้ามาตรวจสอบ 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/5Lau5miV8NDvDrgdP32ZdS/b61440be216b57f5f603e04a1d4a8080/bitcoin-btc-ether-eth-fall-INFO
ส่วน BlockFi เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ไปไม่รอด ล้มละลายอีกรายเมื่อวันที่ 28 พ.ย.ตามรอยเอฟทีเอ็กซ์ ทำให้ราคาบิตคอยน์ดิ่งใกล้หลุด 16,000 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเวลา 23.11 น.ของวันที่ 28 พ.ย. ตามเวลาไทย โดยบิตคอยน์ดิ่งลง 2.8% สู่ระดับ 16,088.79 ดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายบนแพลตฟอร์ม Coinbase 

ด้าน มาร์ค โมเบียส ผู้ก่อตั้งบริษัทโมเบียส แคปิตัล พาร์ทเนอร์ส กล่าวว่า บิตคอยน์ยังคงมีแนวโน้มดิ่งลงต่อไป โดยจะแตะระดับ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมระบุ เขาจะไม่นำเงินของตนเองหรือเงินของลูกค้าไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากมีความเสี่ยงมากเกินไป 

บิตคอยน์เคยพุ่งขึ้นทะลุ 69,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพ.ย.ปี 2564 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ก่อนที่จะทรุดตัวลงต่ำกว่าระดับ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนมิ.ย.2565 ท่ามกลางความกังวลที่ว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปรับลดขนาดงบดุลจะฉุดสภาพคล่องในตลาด และทำให้สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย 

บล็อกไฟ ซึ่งมีมูลค่าตลาดราว 4,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกาศล้มละลายโดยบริษัทยื่นเรื่องต่อศาลแขวงในรัฐนิวเจอร์ซีย์ของสหรัฐฯ ตามมาตรา 11 เพื่อขอรับการพิทักษ์ทรัพย์จากภาวะล้มละลาย และบริษัทเปิดเผยว่า ขณะนี้ มีเจ้าหนี้มากกว่า 100,000 ราย รวมทั้งมีหนี้สินและทรัพย์สินราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  

บล็อกไฟ ให้บริการรับฝากคริปโทเคอร์เรนซีและมีกระดานเทรดของตนเอง เป็นหนึ่งในบริษัทจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบจากการล่มสลายของเอฟทีเอ็กซ์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินคริปโทฯ อันดับ 2 ของโลก 

ก่อนหน้านี้ บล็อกไฟประกาศระงับการถอนเงินของลูกค้า พร้อมทั้งยอมรับว่าธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการล้มละลายของเอฟทีเอ็กซ์ ซึ่งยื่นล้มละลายไปก่อนหน้าแล้วเมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา  

ซึ่งกรณีของเอฟทีเอ็กซ์ มีเจ้าหนี้มากกว่า 1,000,000 ราย ขณะที่บริษัทในเครือของเอฟทีเอ็กซ์ประมาณ 130 บริษัทได้เข้าสู่กระบวนการล้มละลายเช่นกัน ซึ่งรวมถึงบริษัท Alameda Research และ FTX.us 

หลังมีข่าวการล้มละลายของบล็อกไฟ หุ้นกลุ่มธุรกิจบล็อกเชนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ก็ร่วงลงตามๆ กัน โดยหุ้นคอยน์เบส (Coinbase) ร่วงลง 4% และหุ้นไรออท บล็อกเชน (Riot Blockchain) ดิ่งลง 4.06% 

นอกจากนี้ บิตฟรอนต์ (Bitfront) บริษัทซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีของสหรัฐฯ ที่ได้รับการสนับสนุนจากไลน์ คอร์ป (Line Corp) บริษัทโซเชียลมีเดียของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า บริษัทได้ระงับการลงทะเบียนใหม่และการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตแล้วตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. และจะระงับการถอนเงินในวันที่ 31 มี.ค. ปี 2566 แม้บริษัทมีความพยายามที่จะเอาชนะความท้าทายต่างๆ ในอุตสาหกรรมที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วก็ตาม 

แถลงการณ์บนเว็บไซต์ของบิตฟรอนต์ระบุว่า “แม้บริษัทพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็จำเป็นต้องปิดบริการของบิตฟรอนต์ เพื่อให้ระบบนิเวศบล็อกเชนของไลน์ และโทเคน LINK ยังคงเติบโตต่อไป” 

บิตฟรอนต์ ระบุว่า การเคลื่อนไหวนี้ของบริษัทไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินคริปโทฯ บางแห่งที่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมที่มิชอบด้วยกฎหมาย 

การพังพินาศของเอฟทีเอ็กซ์ ส่งผลให้นักลงทุนสูญเงินเป็นจำนวนมหาศาล ท่ามกลางข่าวลือที่แพร่สะพัดว่าผู้บริหารบางรายของ เอฟทีเอ็กซ์ ที่รวมถึง “แซม แบงก์แมน-ฟรายด์” มีพฤติกรรมฉ้อโกงเงินที่ถือเป็นความผิดขั้นร้ายแรง ทั้งยังเป็นผู้ที่ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล 

ภาวะขาลงของตลาดคริปโทฯ ตอนนี้ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการของศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวนมาก บางบริษัทฯ เลือกใช้วิธีเลิกจ้างพนักงานบางส่วนเพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอด ซึ่งรวมถึง Coinbase, CryptoCom, Gemini, Bybit, Huobi และ BlockchainCom ซึ่งล้วนเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในวงการคริปโทฯ 

แต่ยังมีบริษัทอีกหลายแห่งเช่น Celsius ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มให้กู้ยืมคริปโทฯ รวมถึง Three Arrows Capital (3AC) บริษัทผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจนต้องยื่นขอสถานะเป็นผู้ล้มละลายในที่สุด 
https://images.ctfassets.net/i3o8p9lzd06f/40qgnRvMFhswOHYWNOli1r/62523094bf2a4f4cf2ef4bfd5e7f67f4/bitcoin-btc-ether-eth-fall_INFO-02

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์