เจ้าหนี้ ‘คันทรี การ์เดน’ ยังไม่ได้รับเงินคืน หลังพ้นเส้นตาย

นักลงทุนหรือเจ้าหนี้ที่ถือครองหุ้นกู้ของบริษัทคันทรี การ์เดน โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 1 ในประเทศจีน เปิดเผยว่า หลังพ้นกำหนดในช่วงเช้าของวันที่ 18 เมื่อเวลา 9.00 น. (ตามเวลาฮ่องกง) ยังไม่ได้รับการจ่ายรายได้ดอกเบี้ยหุ้นกู้คืนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยการจ่ายคืนดอกเบี้ยของหุ้นกู้ดังกล่าวมีมูลค่า 15.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 570 ล้านบาทจากบริษัทคันทรี การ์เดน โฮลดิ้งส์ อีกทั้งยังไม่มีการติดต่อกลับมาจากบริษัทคันทรี การ์เดน โฮลดิ้งส์ อีกด้วย หลังจากอยู่ในช่วงเวลาผ่อนผันมาเกือบครบ 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 

ดังนั้น มีความเป็นไปได้สูงมากที่คันทรี การ์เดน โฮลดิ้งส์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของจีนจะเข้าสู่ภาวะชักดาบ หรือเลี่ยงการไถ่ถอนหุ้นกู้ของบริษัทกับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นการเบี้ยวหนี้นักลงทุนหรือเจ้าหนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ตั้งบริษัทเป็นต้นมา

Country Garden ส่อแววผิดนัดชำระหนี้ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยบริษัทได้ยื่นหนังสือชี้แจงต่อ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ว่ามีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ต่างประเทศ เนื่องจากบริษัทกำลังเผชิญกับความท้าทายในการตัดขายสินทรัพย์ และสถานะการเงินบริษัทที่อยู่ภายใต้แรงกดดัน

การชี้แจงดังกล่าว ส่งผลให้มีแนวโน้มสูงมากที่จะทำให้บริษัทดังกล่าวเกิดการผิดนัดชำระหนี้กับบรรดาเจ้าหนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา และในที่สุดทางบริษัทจะต้องเข้าสู่การปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้อาจกลายเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องปรับโครงสร้างหนี้ที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศจีน

มูลค่าการไถ่ถอนหุ้นกู้ให้กับบรรดาเจ้าหนี้ต่างประเทศมีมูลค่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,220 ล้านบาทนั้น บริษัทไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนหุ้นกู้จำนวน 2 ชุดได้ทันภายในวันที่กำหนดไว้เดิมเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านไป และขณะนี้ การจ่ายคืนผลตอบแทนหุ้นกู้ทั้ง 2 ชุดดังกล่าวอยู่ในช่วงระยะเวลาผ่อนผันถึงวันที่ 17-18 และวันที่ 27 ตุลาคมนี้ตามลำดับ

บริษัทดังกล่าวมีภาระหนี้สินสะสมสูงถึง 187,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 7 ล้านล้านบาท ส่งผลกลายเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีหนี้สะสมมากแห่งหนึ่งของโลก

ทั้งนี้ คันทรี การ์เดน โฮลดิ้งส์ เปิดเผยว่ายอดขายในเดือนกันยายนตกต่ำถึง -81% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีผ่านมา ซึ่งทำสถิติยอดขายตกต่ำถึง 4 เดือนติดต่อกัน โดยมียอดขายเดือนสิงหาคมดิ่งถึง -72% เดือนกรกฎาคมและมิถุนายนมียอดขายทรุดลงเดือนละกว่า -50%