BTC 101: จงรู้จักตัวเอง จุดเริ่มต้นก่อนคิดจะเป็นเจ้าของ BITCOIN

ถือ Bitcoin หรือ BTC ไว้เฉยๆ รวยได้จริงไหม?
\n
\nสำหรับผู้ถือยาว...ยาวมากๆ หลายๆ ปี ก็เป็นไปได้สูงว่า “จริง” แต่ถ้าไม่มากพอ มันก็เป็นได้ทั้ง 2 ทางนะ ได้แก่
\n \n

‘ทางรวย’ เมื่อจังหวะถูก

\n
\nถ้าใครได้ซื้อ Bitcoin ตั้งแต่ต้นปี 2019 แล้วถือยาวมาที่ปลายปี 2021 คงพูดเหมือนกันว่า ไม่น่าเสียเวลาเทรดเข้าๆ ออกๆ เลย ถือไว้เฉยๆ ได้เงินเยอะกว่า เพราะตลาดโตกว่า 1800%! ในเวลาแค่นั้น
\n
\nเช่น คุณใช้เงิน 1 แสนบาท ซื้อ Bitcoin ตอนปี 2019 แล้วขายพฤศจิกายน ปี 2021 น่าจะได้เงินราว 1.9 ล้านบาท สวยๆ

‘ทางร่วง’ หมดเนื้อประดาตัว

\n
\nแต่อนิจจัง... การถือ Bitcoin เฉยๆ ก็ทำให้เงินหายจำนวนมหาศาลได้ด้วย เช่น ถ้าเข้าไปตอนราคา 5 - 6 หมื่นดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 Bitcoin วันนี้เงินคุณก็หายไปแล้วเกือบ 70%
\n
\nตีง่ายๆ ถ้าลงเงินไว้ 1 แสนบาท ก็เหลือแค่ 3 หมื่นกว่าบาท แถมยังไม่รู้ด้วยว่ามันจะลงไปถึงเมื่อไหร่

ถ้าคุณไม่มีกลยุทธ์อะไรเลย อ่านกราฟไม่เป็น ไม่รู้จะตามข่าวไหน ตัวเลขเศรษฐกิจอะไร ที่มีผลกับราคาประกาศเมื่อไหร่ ไม่รู้วิธีหาจุดเข้า - ออก วาง stop loss (จุดตัดการขาดทุน) ไม่เป็น นั่งทับมือไว้เลยค่ะ ถ้าคุณเข้ามาถือ Bitcoin ทั้งๆ ที่เข้าข่ายคุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น คุณหมดตัวได้ภายในพริบตา
\n
\n
\n
\nเพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักตัวเองก่อน แล้วมาดูว่า นิสัยของเราเหมาะกับการถือ Bitcoin รูปแบบไหนมากที่สุด

Bitcoin สาย ‘ลงทุน’ และ ‘เทรด’ ต่างกันอย่างไร

\n
\nเริ่มจากการลงทุนใน Bitcoin ก่อน ซึ่งเป็นหนทางที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาเฝ้ากราฟ หรือศึกษาข้อมูลอะไรมากมาย แต่ก็ควรมีความรู้ระดับหนึ่ง
\n
\nนักลงทุนใน Bitcoin ถือเหรียญในระยะยาว คำว่า ‘ยาว’ สำหรับวงการ Bitcoin คือ ตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป คนกลุ่มนี้เชื่อในเทคโนโลยี คุณสมบัติ และสัญญาในการปกป้องมูลค่าเงินของพวกเขาได้อย่างแท้จริง
\n
\nวิธีในการลงทุนก็มีทั้งการใส่เงินก้อนลงไปเลยจำนวนหนึ่งหรือ DCA โดยการใส่เงินลงไปเป็นประจำในระยะเวลาเท่าๆ กัน สัดส่วนเท่าๆ กัน โดยไม่ต้องสนใจราคาขึ้นลงเลย
\n
\nขณะที่นักเทรด Bitcoin ซื้อขายทำกำไรในระยะสั้น นักเทรดไม่จำเป็นต้องสนใจหรือรู้พื้นฐานของ Bitcoin ก็ได้ แต่จำเป็นต้องอ่านกราฟ หรือเทคนิคออก พวกเขาเห็น Bitcoin เป็นแค่เครื่องมือสร้างกำไร
\n
\nทว่านักเทรดบางคนก็สนใจพื้นฐานของ Bitcoin หรือบางคนก็แบ่งสัดส่วนพอร์ตให้มีทั้ง ‘ลงทุน’ และ ‘เทรด’ ไปด้วย

3 จริตการเทรด คุณเป็นนักเทรดแบบไหน?

\n
\nการเทรดคร่าวๆ มี 3 รูปแบบ ซึ่งเราควรพิจารณาเลือกตัวที่เหมาะกับจริตตัวเอง และพอใจจะรับความเสี่ยงได้ ซึ่งมี 3 แบบ ดังนี้
\n \n

Day Trader นักเทรดรายวัน

\n
\nนักเทรดรูปแบบนี้ใช้เวลาค่อนข้างมากเฝ้าหน้าจอ พยายามสร้างกำไรจากการเทรดระยะสั้น และมักปิดการเทรดภายใน 1 วัน
\n
\nคนที่จะเทรดรูปแบบนี้ต้องเชี่ยวชาญการอ่านกราฟ เก่งเทคนิคพอตัว มีเวลาศึกษา มีความกระตือรือร้นในการวางแผนรายวัน รักความผันผวน จิตใจเข้มแข็งพอจะเห็นเงินหายวับไปต่อหน้าต่อตา หรือทนกับความโลภ ไม่วิ่งตามไล่ราคาถ้ามันแพงมากเกินไป พื้นฐานง่ายๆ เรื่องแนวรับแนวต้านต้องแข็งแรงมาก
\n \n

Scalping Trader นักเทรดเก็บเล็กผสมน้อย

\n
\nเป็นกลยุทธ์ Day trading รูปแบบหนึ่งที่เน้นเอากำไรทีละนิดๆ 1% 2% จากราคาก่อนหน้า เพื่อที่จะกำจัดความเสี่ยง ด้วยความคาดหวังว่าได้เงินแน่ๆ นิดหน่อยก็ยังดี แต่ไม่เสี่ยงให้ราคาลง ซึ่งสามารถทำการเทรดได้วันละ 10 ถึง 100 ครั้งต่อวัน
\n
\nแต่วิธีนี้ถูกเปรียบเทียบเป็นการเทรดแบบ ‘วิ่งลงไปเก็บเหรียญบาท หน้ารถไถถนน เก็บได้แล้ววิ่งหนี!’ คุณได้กำไรทีละเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าเสีย คุณตายได้เลย
\n
\nคนที่จะเทรดรูปแบบนี้ ส่วนใหญ่ใจร้อน อยากได้กำไรเร็วๆ ชอบจ้องกราฟ ชอบลุ้น แทงขึ้น แทงลง เสพความตื่นเต้นของราคาเป็นความบันเทิงได้ และมีเงินเย็นให้เสียได้ด้วย (ซึ่งจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน วิธีนี้ไม่เคยคุ้ม)
\n \n

Swing Trading นักเทรดเชิงกลยุทธ์

\n
\nนักเทรดทำกำไรจากการเทรดให้จบวัฏจักร รูปแบบนี้นักเทรดจะต้องหาจังหวะเข้าที่การเริ่มต้นของวัฏจักร แล้วถือจนกว่ารูปแบบเทรนด์จะเปลี่ยน แล้วค่อยขายออกเพื่อเอากำไร
\n
\nการเทรดประเภทนี้จะมองเป็นภาพใหญ่มากกว่า ไม่จำเป็นต้องเฝ้าจอ สามารถเปิดการเทรดแล้วถือครองยาวเป็นสัปดาห์ได้ จนกว่าจะเจอจังหวะเข้าออกที่เหมาะสม
\n
\nคนที่จะเทรดวิธีนี้ ต้องมีความอดทนที่จะรอ รอจังหวะ รอศึกษาเล่าเรียนให้มีความรู้ประสบการณ์มากพอก่อน ฝึกใช้ Mockup Trade หรือ ‘บัญชีเงินปลอม’ ก่อนเล่น เพื่อทดสอบกลยุทธ์ ทำการรีเสิร์ชกลยุทธ์ย้อนหลัง (Back test) ขยันหาความรู้ใหม่เพิ่มเติม เพื่ออ่านวัฏจักรให้ออกและแม่นยำ รู้วิธีวาง stop loss ปกป้องเงินทุน
\n
\nที่สำคัญคือ “หาจุดที่ได้ มากกว่าเสีย” หรือจุดเข้าที่ได้เปรียบ ค่อยลงเงิน

5 ข้อผิดพลาดของ ‘นักเทรด’

\n
\n1. ลงเงินเกินงบที่เสียได้: ระลึกไว้เสมอว่าเงินที่เอามาลงทุนต้องเป็น ‘เงินเย็น’ ถ้าหายไปก็ไม่มีผลกระทบอะไรต่อชีวิตความเป็นอยู่ทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นอารมณ์โลภ อารมณ์กลัวจะมาขัดขวางความสามารถในการเทรดของคุณอย่างรุนแรง และชีวิตคุณจะพังได้
\n
\n2. ไม่มีกลยุทธ์การเข้า-ออก: ไม่รู้จักวางแผน ไม่ยอมวาง stop loss หรือบางคนรู้ทุกอย่างแต่กลับไม่มีวินัยในการเข้าออก เมื่อราคาขึ้นถึงจุดที่ควรออก ไม่ออก เมื่อเวลาลงเกินจุดที่เหมาะสม ไม่ยอมขายทิ้ง เงินทุนก็หดหาย
\n
\n3. ปล่อยอารมณ์โลภและกลัวเกินไป: ใครบอกว่ามีจิตใจเข้มแข็งเยือกเย็นดุจสายน้ำ ลองได้เข้ามาลองซิ่งในตลาดดูก่อน จะรู้ว่าวิญญาณโลภ และวิญญาณกลัวของตัวเองทำงานดีแค่ไหน ตัวอย่างพวกกลัวมากก็ขายหมู ขายตอนราคาขึ้นมานิดเดียว ไม่กล้าถือให้จบเทรนด์ อันนี้เพื่อนจะแซวได้ว่ากลัวรวย หรือพวกโลภก็ออกช้าไปถือยาวจนขาดทุน แทนที่จะกำไร
\n
\n4. เจ็บแล้วไม่จำ: เมื่อเกิดการผิดพลาดแล้วไม่ได้เอามาพิจารณาอย่างจริงจัง แล้วใช้เป็นบทเรียนในครั้งต่อไป ยังคงทำซ้ำแบบเดิมๆ
\n
\n5. ยอมแพ้เร็วเกินไป: คนส่วนมากไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อเข้าไปในตลาดแล้วล้มเหลว เงินทุนหาย รีบออกจากตลาด มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ คุณจำเป็นต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน การให้อภัยตัวเอง และ ‘เงินทุน’ ที่ต้องรักษาให้ดี

ผลกำไรจากลงทุน VS เทรดระยะสั้น

\n
\nถามว่าการลงทุนและเทรดระยะสั้น วิธีไหนให้ผลกำไรมากน้อยกว่ากัน ไม่มีคำตอบตายตัว แต่เรามีตัวอย่างมาให้ดู เป็นตารางเปรียบเทียบผลกำไรระหว่างลงทุนใน Bitcoin คือถือไว้เฉยๆ กับเทรดเอากำไรระยะสั้น จากการใช้ indicator MACD 1 hour ในการเทรด ในช่วงตลาดขาขึ้นปี 2020

อยากเป็นนักเทรด ต้องเตรียมตัวอย่างไร

\n
\nใจเย็นๆ ให้เป็น ‘รู้ก่อนค่อยเทรด’ อ่านมาถึงตรงนี้คงพอเห็นภาพโอกาสและความเสี่ยงในตลาดนี้ มันจำเป็นมากที่ต้องรู้พื้นฐานและเทคนิค และมีตัวชี้วัดอีกมากมายที่จะช่วยเราให้พอรู้แนวโน้มและเอาตัวรอดได้
\n
\nบทความนี้เราคงไม่แจก ‘ปลา’ ด้วยการวิเคราะห์ราคาให้ดู เพราะเราก็พลาดได้เช่นกัน (ไม่มีเซียนที่ไหนที่รู้ราคาที่แท้จริงล่วงหน้าได้) แต่เราจะสอนวิธีหา ‘ปลา’ ให้ทุกคนไปหาเอง และรู้จักแกะก้างออกด้วย
\n
\nรอติดตามข้อมูล Bitcoin ทั้งพื้นฐานและความรู้เชิงเทคนิคได้ในตอนต่อๆ ไป