ทีมข่าว Spacebar Big City พูดคุยกับภาคการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ เกี่ยวกับโครงการแอ่วเหนือคนละครึ่ง ที่ได้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่พบว่าการใช้จ่ายจากโครงการนี้ยังไม่ได้คึกคักมากนัก และยังคงเหลือสิทธิ์ของโครงการให้ลงทะเบียนอยู่จำนวนมาก ซึ่งคาดการณ์ว่า อาจมาจากนักท่องเที่ยวเก็บไปใช้สิทธิ์ในช่วงเทศกาล เช่น เทศกาลลอยกระทง หรืองานประเพณียี่เป็งที่กำลังจะถึงนี้มากกว่า
ศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผย ตอนนี้จำนวนของผู้ที่มาใช้สิทธิ์ในจังหวัดเชียงใหม่ยังไม่ได้มากนัก แต่ถือว่าโครงการเพิ่งจะเริ่มต้นคงต้องรอดูสักระยะอย่างช่วงที่เทศกาลใหญ่ ๆ เช่น งานประเพณียี่เป็ง งานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

“ในส่วนของจำนวนเงินต้องยอมรับว่า การกระตุ้นการเศรษฐกิจยังถือว่าไม่มากนัก เพราะจำนวนเงิน 400 บาทต่อคน ยังไม่สามารถจูงใจให้คนตัดสินใจเดินทางออกมาท่องเที่ยวได้ ทำให้คนส่วนใหญ่ที่มาใช้สิทธิ์ จะเป็นคนที่มีแผนในการเดินทางเที่ยวหรือทำธุระในพื้นที่ที่ร่วมโครงการอยู่แล้ว” หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้คนเที่ยวน้อยลงและมีผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวอย่างมากคือ ราคาตั๋วเครื่องบิน ที่มีราคาแพง จึงอยากวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโปรดช่วยพิจารณาในเรื่องของราคาของสายการบิน ทุกวันนี้พอเป็นช่วงเทศกาล ราคาค่อนข้างสูงเกินจับต้องได้ สำหรับนักท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือในช่วงของวันหยุดยาวหรือวันธรรมดา เฉลี่ยแล้วราคาค่อนข้างสูง หากเป็นไปได้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือสายการบินควรมาเจรจาหาราคาที่เหมาะสมหรือเพิ่มเที่ยวบินให้มากขึ้น เหมือนช่วงก่อนโควิด”
ละเอียด บุ้งศรีทอง ที่ปรึกษาสมาคมโรงแรมไทยภาคเหนือ(ตอนบน) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โครงการนี้ ถือเป็นโครงการนำร่องในการเปิดเทศกาลฤดูกาลการท่องเที่ยว แม้ว่าจำนวนสิทธิ์ และจำนวนเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจจะไม่มากนัก แต่ภาคการท่องเที่ยวก็ถือว่าได้อานิสงส์ในเรื่องของการสร้างการรับรู้ว่าภาคเหนือพร้อมรับนักท่องเที่ยวแล้ว หลังจากที่ประสบปัญหาอุทกภัยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
“จำนวน 400 บาทต่อคน ก็ช่วยนักท่องเที่ยวที่อาจจะไม่มีกำลังจ่ายมากได้ อาจจะช่วยลดค่าโรงแรมได้กว่า 50% ต่อคืน เนื่องจากจังหวัดเชียงใหม่มีราคาโรงแรมตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น สิ่งนี้ก็จะช่วยผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก รายย่อยได้ด้วย” หากจะต่อยอดโครงการนี้ อาจจะต้องพิจารณาถึงช่องทางในการลงทะเบียนรวมถึงการใช้สิทธิ์ ให้สะดวกและเสถียรมากขึ้น รวมถึงเพิ่มจำนวนเงิน จำนวนสิทธิ์เพิ่มมากขึ้น เพื่อทำให้นักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการรู้สึกว่าเป็นโครงการที่ดี ไม่ยุ่งยากและมีแรงจูงใจที่จะเดินทางมาท่องเที่ยว”



พัลลภ แซ่จิว กรรมการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภาคเหนือเขต 1 แสดงความคิดเห็นว่า แม้ในแง่ของจำนวนเงินจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อย แต่ถือว่าดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อีกมุมหนึ่งก็สามารถทำให้เป็นกระแสได้ ทำให้คนกลับมามองการท่องเที่ยวภาคเหนือ หลังจากที่เจอกับปัญหาอุทกภัย คาดว่าคนที่ใช้สิทธิ์ส่วนใหญ่จะเป็นคนเหนือภาคเหนือด้วยกันเอง ซึ่งที่ผ่านมาคนเหนือก็เที่ยวภายในภาคมากพอสมควร ซึ่งตอนนี้อากาศเริ่มเย็น และเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยว ทำให้คนเริ่มเดินทางเข้าสู่ภาคเหนือมากขึ้น


“การทำโครงการ หรือ อีเวนท์เป็นสิ่งที่ดี เปรียบเสมือนพลุที่แสงมากครู่เดียวแล้วหายไป หลังจากนี้ ต้องทำให้การท่องเที่ยวดีขึ้นในระยะยาว รัฐต้องทำงานร่วมกันมากขึ้น อาจจะต้องทำงานข้ามกระทรวง เช่น กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ต้องทำงานข้ามกระทรวงกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย เพื่อที่จะทำเรื่องของการท่องเที่ยวข้ามแดนให้สะดวก เพื่อที่จะให้นักท่องเที่ยวเดินทางข้ามมาเที่ยวมากขึ้น พื้นที่ชายแดนทางเหนือก็สามารถทำได้ ซึ่งโครงการนี้เอกชนไม่สามารถทำเองได้ ต้องอาศัยภาครัฐเป็นผู้ดำเนินการ”
กรรมการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภาคเหนือเขต 1 ยังบอกอีกว่า กลุ่มเป้าหมายของนักท่องเที่ยวขาวต่างชาติ ก็ต้องเน้นคุณภาพเป็นกลุ่มสีขาว ไม่เอากลุ่มสีเทา ซึ่งภาครัฐ ต้องช่วยคัดกรอง แต่ผลที่จะได้มานั้น เชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก และเมืองชายแดนของไทยจะคึกคักมากยิ่งขึ้น รวมถึงจังหวัดอื่น ๆในภาคเหนือก็จะได้รับอานิสงส์ไปด้วยเช่นกัน

