ทีมข่าว Spacebar Big City ลงพื้นที่สำรวจกระแส “การท่องเที่ยวสายมู” หรือ “สายมูเตลู” ซึ่งเป็นหนึ่งในเทรนด์การท่องเที่ยวที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ ซึ่งคนไทยก็นิยมไปขอพรในด้านต่าง ๆ อย่าง การงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ ส่วนของชาวต่างชาติก็เดินทางไปเสพความสวยงาม วัฒนธรรมความเชื่อของประเทศ ซึ่งในภาคเหนือ เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยวสายมูอยู่จำนวนมาก
ภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาคเหนือ ททท. เปิดเผยกับ ทีมข่าว Spacebar Big City ว่า สำหรับในพื้นที่ภาคเหนือ มีสินค้าและบริการที่ตอบรับในเรื่องของสายมูเตลูและสายศรัทธาอยู่มากมาย มีทั้งวัด สถานที่ที่ผู้คนนับถือ เกจิอาจารย์ชื่อดัง รวมถึงวัตถุมงคล เครื่องราง
จากการเก็บข้อมูล ไม่เพียงแต่การท่องเที่ยวชมบรรยากาศ แต่เวลาที่นักท่องเที่ยวเดินทางไปทำบุญ ได้สร้างเม็ดเงินให้กับท้องที่นั้นๆไปด้วย นอกจากความชื่นชอบในเรื่องมูเตลูกันแล้ว นักท่องเที่ยวยังใช้จ่ายในด้านอื่น ๆ ด้วย ทั้งอาหาร โรงแรมที่พัก จึงถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจในการเดินทางมากขึ้น
“เราไม่ได้ตั้งใจจะสื่อการท่องเที่ยวสายมู ในเชิงการสร้างความงมงายให้กับนักท่องเที่ยวหรือว่าประชาชน แต่ว่าเป็นเรื่องของวิถีชีวิตในชีวิตประจำวันของคนไทยอยู่แล้ว“
ภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาคเหนือ ททท.
ผศ.ดร.พบกานต์ อาวัชนาการ สำนักวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ให้ข้อมูลว่า การท่องเที่ยวสายมู หรือว่าการท่องเที่ยวสายศรัทธา ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากคนไทยหรือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มีความผูกพันกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทยในลักษณะนี้อยู่แล้ว
“โจทย์ที่สำคัญคือถ้ามีการประชาสัมพันธ์ และมีนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปในครั้งแรก แต่จะทำอย่างไรให้กลับมาเที่ยวครั้งที่สองและครั้งต่อๆไปได้ เพราะการท่องเที่ยว มีความจำเป็นที่จะต้องให้นักท่องเที่ยว มีการซื้อซ้ำ หากไม่ได้กลับไปอีก เม็ดเงินก็จะไม่ได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากนัก ควรจะต้องทำการศึกษารายละเอียดของการท่องเที่ยวสายมูหรือว่าสายศรัทธาที่ประสบความสำเร็จ ว่าจะต้องทำอย่างไร ถึงสามารถดึงดูดให้มีนักท่องเที่ยวอยู่ตลอด รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งแวดล้อม บรรยากาศ หรือการบริหารจัดการของสถานที่ให้ดีมากยิ่ง”
ผศ.ดร.พบกานต์ อาวัชนาการ สำนักวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ผศ.ดร.พบกานต์ ยังระบุด้วยว่า สิ่งสำคัญของการท่องเที่ยวสายนี้คือต้องไม่ทำการแข่งกันเอง เนื่องจากจะเป็นการแย่งฐานลูกค้ากันเอง ดังนั้นก็ควรเป็นการร่วมมือกันสร้างเส้นทางสายมู ที่มีเรื่องราวน่าสนใจ และบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงหน่วยงานทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย ก็ควรจะเร่งสนับสนุนให้คนไทยเที่ยวข้ามภูมิภาคมากยิ่งขึ้น จะสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง เพราะเนื่องจากการเดินทางข้ามภูมิภาคส่วนใหญ่จะเกิดการใช้จ่ายทั้งค่าอาหาร ค่าที่พัก และจับจ่ายซื้อของที่ระลึกกลับไปอีกด้วย
“นอกจากการท่องเที่ยวของสายมูแล้ว ก็จะต้องมีกิจกรรมเสริม เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีกิจกรรมทำเพิ่ม ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าน่าไปเที่ยว มีอะไรให้ทำมากกว่าไปไหว้ขอพรเพียงอย่างเดียว”
ผศ.ดร.พบกานต์ อาวัชนาการ สำนักวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
วัลลภ นามวงศ์พรหม รองประธานสภาวัฒนธรรมเชียงใหม่ ให้ข้อมูลว่า สายมู สายศรัทธาก็เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อของวิถีชีวิตของคนไทยอยู่แล้ว ในส่วนนี้ก็ต้องแบ่งออกเป็นสองส่วนก็คือด้านดีและข้อควรระวัง
“ในส่วนของด้านดีก็เป็นการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว แต่สิ่งที่เราต้องจับตาและเฝ้าระวังก็คือกลุ่มของผู้ที่ไม่หวังดีหรือว่ากลุ่มมิจฉาชีพ ที่ฉวยโอกาสเกาะกระแสนำไปสู่การหลอกลวงได้” การที่ผู้คนมีความเชื่อและไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร หากทำแล้วสบายใจมีกำลังใจในการที่จะสู้ชีวิตต่อ แต่ก็ควรจะทำบุญอย่างพอประมาณตามกำลังที่ไหว อย่างมงายหลงเชื่ออะไรง่ายจนเกินไป ควรอยู่บนหลักการและเหตุผล”
วัลลภ นามวงศ์พรหม รองประธานสภาวัฒนธรรมเชียงใหม่
การท่องเที่ยวอย่างเมืองเชียงใหม่ ถือเป็นเมืองแห่ง "พหุวัฒนธรรม" ของประเทศไทยและล้านนา จากข้อมูลธุรกิจความเชื่อความศรัทธา(ศาสตร์มูเตลู) กำลังได้รับความนิยมจากทุกกลุ่มอายุ โดยแต่ละกลุ่มอายุจะมีวิธีการมูเตลูที่แตกต่างกัน
กลุ่มที่มีความเชื่อค่อนข้างสูงได้แก่ กลุ่ม Gen Z โดยการเข้าถึงข้อมูลส่วนใหญ่จะมาจากสื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่ม Gen Z ที่มีการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตสูงสุดกว่าทุกช่วงกลุ่มวัย หากธุรกิจสามารถพัฒนาสินค้า และส่งเสริมการตลาดได้ตรงกลุ่ม ย่อมส่งผลต่อโอกาสในการขายสินค้าและบริการได้สูงขึ้นเช่นกัน
ขณะที่มูลค่าตลาดท่องเที่ยวสายมู หรือการท่องเที่ยวตามแรงศรัทธาทั่วโลก ประมาณการอยู่ที่ 15,070 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2566 และมีแนวโน้มเติบโต +10.5% ต่อปี ซึ่ง ททท.ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ท่องเที่ยวสายมูในประเทศ เติบโตได้เกินกว่าปีละ 15,000 ล้านบาท
