DeepSeek เป็นสตาร์ทอัพสัญชาติจีนจากเมืองหางโจว เปิดตัวโมเดล AI ที่ชื่อว่า DeepSeek-R1 เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา ประสิทธิภาพในงานด้านคณิตศาสตร์และการเขียนโค้ดเทียบเท่าโมเดล 01 ของ ChatGPT ที่พัฒนาโดย OpenAI โมเดล DeepSeek-R1 ที่คิดค้นครั้งนี้มุ่งเน้นพัฒนาการให้เหตุผลที่ซับซ้อนและการให้คำอธิบายที่ง่ายเหมือนมนุษย์ อีกทั้งยังเป็นโมเดล Opensource ที่เปิดให้ผู้พัฒนาโปรแกรมสามารถนำโมเดลไปต่อยอดได้อย่างอิสระ
ที่สำคัญใช้เงินลงทุนน้อย พัฒนาไม่นาน แต่เทียบเท่า ChatGPT บริษัทใช้เวลาพัฒนาประมาณ 2 เดือน เงินลงทุนประมาณ 6 ล้านดอลลาร์ และใช้ชิปที่ลดประสิทธิภาพจาก NVIDIA รุ่น H800S
ต่างจากเจ้าตลาดสุดขั้ว
ลองให้ AI ที่เป็นคู่แข่งกันเวลานี้พูดถึงตัวเอง และคู่แข่ง จะเป็นอย่างไรบ้าง จะออกมาอย่างไร ไปดูคำตอบกัน
คำถาม Chat GPT
Deepseek กับ Chat GPT ใครมีประสิทธิภาพดีกว่ากัน
ChatGPT said:
ChatGPT
การเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่าง DeepSeek และ ChatGPT (หรือ GPT-4) นั้น ขึ้นอยู่กับ วัตถุประสงค์ในการใช้งาน และ บริบท ที่ต้องการ ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นและข้อจำกัดของตัวเอง ดังนี้:
1. ความสามารถในการค้นหาและดึงข้อมูล
- DeepSeek:
- โดดเด่นในงานที่เกี่ยวกับการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลเฉพาะ เช่น เอกสารภายในองค์กร ฐานข้อมูลเฉพาะทาง หรือแหล่งข้อมูลที่กำหนดโดยผู้ใช้งาน
- เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำและความลึก เช่น การวิเคราะห์สัญญาทางกฎหมาย การค้นหาเชิงวิจัย หรือการจัดการข้อมูลเฉพาะ
- ใช้เทคโนโลยีการประมวลผลข้อมูล (Data Mining) และ AI แบบเฉพาะทาง จึงตอบโจทย์ในแง่ของการค้นหาข้อมูล เฉพาะเจาะจง ได้ดีกว่า
- ChatGPT:
- เหมาะกับ การตอบคำถามทั่วไป การสรุปข้อมูล หรือการสร้างเนื้อหาจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่ได้รับการฝึกอบรม
- หากเป็นคำถามหรือข้อมูลที่เกี่ยวกับความรู้ทั่วไป ChatGPT มักตอบได้รวดเร็วและครอบคลุม
- มีข้อจำกัดในการค้นหาข้อมูลที่ เฉพาะเจาะจง และอาจให้คำตอบไม่ถูกต้องหากข้อมูลไม่ปรากฏในชุดข้อมูลการฝึกสอน
2. การใช้งานด้านธุรกิจ
- DeepSeek:
- เหมาะสำหรับองค์กรหรือธุรกิจที่ต้องการโซลูชัน AI เพื่อจัดการข้อมูลเฉพาะ เช่น การดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลภายใน การวิเคราะห์ข้อมูลที่มีโครงสร้างซับซ้อน
- ใช้ได้ดีในอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น การเงิน การประกันภัย การวิจัยทางวิทยาศาสตร์
- ChatGPT:
- เหมาะสำหรับงานทั่วไป เช่น การสนทนา การเขียนเนื้อหา การตอบคำถาม หรือการช่วยงานที่เกี่ยวกับการสื่อสาร
- ใช้ได้ดีกับธุรกิจที่ต้องการ AI เพื่อช่วยเรื่องการสร้างข้อความหรือการตอบกลับลูกค้า
3. ความแม่นยำ
- DeepSeek:
- มีความแม่นยำสูงกว่าในงานที่ต้องการข้อมูลเฉพาะ เช่น การค้นหาเนื้อหาเฉพาะในเอกสาร หรือการดึงข้อมูลจากแหล่งที่จำกัด
- ระบบถูกปรับแต่งให้ตรงกับข้อมูลของผู้ใช้งานโดยเฉพาะ
- ChatGPT:
- ความแม่นยำขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ระบบถูกฝึกมา หากคำถามมีความเฉพาะเจาะจงมากเกินไป อาจตอบผิดหรือไม่สามารถให้คำตอบได้
4. ความยืดหยุ่น
- DeepSeek:
- เน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เหมาะกับงานที่มีโครงสร้างและต้องการผลลัพธ์ที่แน่นอน
- ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการสนทนาหรือการใช้งานทั่วไป
- ChatGPT:
- มีความยืดหยุ่นสูงกว่า เพราะสามารถตอบคำถามทั่วไป ช่วยแก้ไขปัญหา และสร้างเนื้อหาได้หลากหลาย
5. การตั้งค่าและการบำรุงรักษา
- DeepSeek:
- ต้องการการตั้งค่าที่ซับซ้อนและการปรับแต่งให้ตรงกับข้อมูลของผู้ใช้
- อาจต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคช่วยจัดการ
- ChatGPT:
- พร้อมใช้งานได้ทันทีผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยไม่ต้องตั้งค่าหรือปรับแต่ง
สรุป: ใครมีประสิทธิภาพดีกว่า?
- DeepSeek เหมาะที่สุดสำหรับงานเฉพาะทางที่ต้องการความแม่นยำในการค้นหา วิเคราะห์ หรือจัดการข้อมูลเฉพาะ
- ChatGPT เหมาะกับงานทั่วไป งานที่ต้องการความยืดหยุ่น และการสร้างสรรค์เนื้อหา
หากคุณต้องการ AI สำหรับ การค้นหาข้อมูลเฉพาะ ให้เลือก DeepSeek แต่ถ้าคุณต้องการ AI สำหรับ การสนทนา การช่วยงานทั่วไป หรือการสร้างเนื้อหา ให้เลือก ChatGPT
คำถาม Deepseek
เปรียบเทียบ chat GPT กับ deepseek ประสิทธิภาพเป็นอย่างไรบ้าง
Deepseek said :
การเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่าง ChatGPT (OpenAI) และ DeepSeek (พัฒนาโดยบริษัท DeepSeek AI ของจีน) สามารถวิเคราะห์ได้จากหลายมิติ ดังนี้:
1. ความสามารถด้าน NLP (การประมวลผลภาษาธรรมชาติ)
- ChatGPT (GPT-4)
- จุดแข็ง:
- สร้างข้อความที่สอดคล้องกับบริบท (Coherence) ได้ดีกว่า
- รับมือกับคำสั่งที่ซับซ้อน เช่น การสรุปเนื้อหา การเขียนโค้ด หรือการแก้โจทย์ตรรกะ
- มีความสามารถด้าน Multimodal (ข้อความ+ภาพ) ใน GPT-4
- จุดอ่อน:
- บางครั้งให้ข้อมูลไม่ทันสมัย (ข้อมูลฝึกสอนปี 2023)
- อาจเกิด Hallucination (สร้างข้อมูลเท็จ) ในหัวข้อเฉพาะทาง
- จุดแข็ง:
- DeepSeek
- จุดแข็ง:
- ถูกออกแบบให้มีประสิทธิภาพสูงในงานเฉพาะทาง เช่น การเขียนโค้ด และ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคณิตศาสตร์
- มีโมเดลขนาดเล็ก (เช่น DeepSeek-R1) ที่ทำงานเร็วและใช้ทรัพยากรน้อย
- จุดอ่อน:
- ความสามารถในการสนทนาทั่วไปอาจไม่ลื่นไหลเท่า ChatGPT
- ข้อจำกัดในการรองรับภาษาที่ไม่ใช่ภาษาจีนหรืออังกฤษ
- จุดแข็ง:
2. ประสิทธิภาพในภาษาจีน
- DeepSeek
- ได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลภาษาจีนจำนวนมาก ทำให้มีความแม่นยำสูงในงานเช่น การแปล หรือ การสรุปเอกสารภาษาจีน
- รองรับวัฒนธรรมและบริบทเฉพาะของจีน (เช่น การอ้างอิงเหตุการณ์ปัจจุบันในจีน)
- ChatGPT
- แม้จะรองรับภาษาจีน แต่ประสิทธิภาพอาจสู้ DeepSeek ไม่ได้ โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับจีน
- ถูกจำกัดการเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับจีน เนื่องจากกฎหมายของ OpenAI
3. ความเร็วและต้นทุน
- DeepSeek
- มีโมเดลแบบ Open Source (เช่น DeepSeek-R1) ที่ปรับใช้ได้ฟรีบนเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว
- ประมวลผลเร็วด้วยขนาดโมเดลที่เล็กกว่า GPT-4
- ค่าใช้จ่าย API ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับ OpenAI
- ChatGPT
- ต้องการทรัพยากรสูง (เฉพาะ GPT-4) ทำให้ต้นทุนการประมวลผลต่อคำขอ (Token) สูงกว่า
- เวลา Response ช้ากว่าในโหมดฟรี
4. การปรับแต่งและขยายความสามารถ
- DeepSeek
- เน้นการปรับแต่งโมเดลสำหรับองค์กร (Enterprise Customization) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม Fintech และ Healthcare
- มีเครื่องมือสำหรับ Fine-tuning ที่ยืดหยุ่น
- ChatGPT
- มี API ที่เสถียรและระบบนิเวศที่หลากหลาย (ผ่าน Microsoft Azure)
- จำกัดการปรับแต่งโมเดลพื้นฐาน (ยกเว้นเวอร์ชัน Enterprise)
5. ข้อมูลทางเทคนิค
ChatGPT (GPT-4)
- ขนาดโมเดล ~1.8 ล้านล้านพารามิเตอร์
- การฝึกสอน ข้อมูลหลากหลายภาษาจากอินเทอร์เน็ต
- Multimodal รองรับ (ข้อความ+ภาพ)
- ค่าใช้จ่าย API สูง (~$0.06/1K Token)
DeepSeek
- ขนาดโมเดล ~130,000 ล้านพารามิเตอร์ (MoE)
- การฝึกสอน เน้นข้อมูลภาษาจีนและงานเฉพาะทาง
- Multimodal เน้นข้อความเป็นหลัก
- ค่าใช้จ่าย API ต่ำกว่า (~$0.02/1K Token)
6. กรณีศึกษาเปรียบเทียบ
- การเขียนโค้ด:
- DeepSeek แม่นยำกว่าในงาน Debug โค้ด Python/Java เนื่องจากถูกฝึกมาสำหรับด้านนี้
- ChatGPT ใช้งานง่ายกว่า แต่บางครั้งให้คำตอบทั่วไปเกินไป
- การวิเคราะห์ข้อมูล:
- DeepSeek ให้ผลลัพธ์เชิงตัวเลขที่รวดเร็วและแม่นยำ (เหมาะกับงาน Data Science)
- ChatGPT อธิบายกระบวนการคิดได้ละเอียดกว่า
- การสนทนาทั่วไป:
- ChatGPT ใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและสร้างสรรค์กว่า
- DeepSeek ตอบตรงประเด็น แต่ขาดความลื่นไหล
7. สรุป: เลือกใช้เมื่อไร?
- เลือก ChatGPT ถ้า:
- ต้องการความสามารถหลากหลาย (Multimodal)
- ทำงานกับภาษาอังกฤษเป็นหลัก
- ต้องการความสมจริงในการสนทนา
- เลือก DeepSeek ถ้า:
- มุ่งเน้นงานด้าน Coding, คณิตศาสตร์, หรือการวิเคราะห์ข้อมูล
- ใช้งานกับภาษาจีนหรือต้องการต้นทุนต่ำ
- ต้องการปรับแต่งโมเดลสำหรับระบบภายในองค์กรข
8. แนวโน้มการแข่งขัน
- DeepSeek กำลังเติบโตเร็วในเอเชีย โดยเฉพาะจีน จากการสนับสนุนของรัฐบาลและความต้องการใช้งาน AI เฉพาะทาง
- ChatGPT ยังคงเป็นผู้นำตลาดระดับโลก แต่ต้องเผชิญแรงกดดันจากคู่แข่งด้านราคาและประสิทธิภาพเฉพาะทาง