‘พาณิชย์’ แนะไทยปรับแผนขายสินค้าเกษตรญี่ปุ่น รับมือกม.เพิ่มความมั่นคงอาหาร

11 ก.พ. 2568 - 03:33

  • แนะเกษตรกร ผู้ประกอบการไทยปรับตัว หันผลิตสินค้าเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

  • เจาะตลาดสินค้าที่ญี่ปุ่นผลิตได้ไม่เพียงพอ

  • ใช้ประโยชน์ FTA ส่งออก สินค้าเกษตรไทยยังรุ่งในตลาดญี่ปุ่น

economic-business-thai-export-agricultural-product-japan-SPACEBAR-Hero.jpg

พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อเดือน มิ.ย.2567 รัฐสภาญี่ปุ่นเห็นชอบการปฏิรูป ‘กฎหมายพื้นฐานด้านอาหาร การเกษตร และพื้นที่ชนบท’ (Basic Law on Food, Agriculture, and Rural Areas) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีมาตั้งแต่ปี 2542 โดยการปฏิรูปในครั้งนี้ เน้นประเด็นความมั่นคงทางอาหาร เนื่องจากสถานการณ์ด้านการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบันมีความไม่แน่นอนสูง ขาดเสถียรภาพ และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของโลก เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน สร้างความไม่แน่นอนและกระทบตลาดธัญพืชโลก ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น และยังมีความท้าทายต่าง ๆ ทั้งความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ภัยพิบัติทางธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเกิดโรคระบาด ปัญหาขาดแคลนแรงงาน และความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหารของโลก จึงทำให้ญี่ปุ่นต้องปฏิรูปกฎหมาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเอง โดยมุ่งสนับสนุนการส่งออก ลดการพึ่งพาการนำเข้า และปรับเปลี่ยนการผลิต
สำหรับมาตรการต่าง ๆ ที่ญี่ปุ่นจะนำมาใช้ ครอบคลุมถึงการสร้างแรงจูงใจสำหรับการผลิตภายในประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศกระจายแหล่งซัปพลายเออร์ในการจัดหาสินค้า เพิ่มปริมาณสต็อกฉุกเฉิน และการสร้างแบรนด์แจแปน “Brand Japan” ซึ่งการสร้างแบรนด์จะเชื่อมโยงกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และความยั่งยืนด้านเศรษฐกิจภาคการเกษตร มุ่งเน้นให้ญี่ปุ่นปรับตัวให้สอดคล้องกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านการปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม โดยจะเพิ่มความตระหนักรู้ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้ประกอบการไปจนถึงผู้บริโภค 

ทั้งนี้ ภายใต้กฎหมายฉบับปรับปรุง ปี 2563 ญี่ปุ่นได้กำหนดเป้าหมายสินค้าเกษตรที่จะผลิตภายในประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2561–2573 เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเหลือง บัควีท พืชอาหารสัตว์ ผัก ผลไม้ เนื้อวัว ไก่ ไข่ และสุกร (ยกเว้น ข้าวที่จะลดการผลิตลง แต่ไม่รวมข้าวที่ใช้ทำแป้งและใช้เป็นอาหารสัตว์) ซึ่งตามแผนจะมีการทบทวนทุก 5 ปี ดังนั้น ในปี 2568 คาดว่าญี่ปุ่นจะมีการเผยแพร่แผนฉบับใหม่

พูนพงษ์กล่าวว่า การที่ญี่ปุ่นมีนโยบายลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหาร อาจส่งผลให้ความต้องการนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทยลดลง เกษตรกรและผู้ส่งออกไทยต้องปรับกลยุทธ์การผลิต มุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้าให้สอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่ของญี่ปุ่น โดยมีข้อเสนอสำหรับแนวทางการปรับตัว คือ ต้องพัฒนาการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปล่อยคาร์บอนต่ำ นำเทคโนโลยีการเกษตรยั่งยืนมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยร่วมมือกับผู้นำเข้าญี่ปุ่นควบคู่กับการทำการค้า การสร้างโอกาสสำหรับสินค้าเฉพาะ ที่ญี่ปุ่นผลิตได้ไม่เพียงพอ เช่น ทุเรียน มะม่วง มังคุด พืชสมุนไพร และอาหารแปรรูปเฉพาะทาง เช่น อาหารฟังก์ชั่น โปรตีนจากแมลง เป็นต้น การปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานการผลิตที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยเฉพาะข้าว ที่ญี่ปุ่นมีกฎหมายกำกับ ได้แก่ กฎหมายการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าข้าว และยังมีกฎหมายการติดฉลากสินค้าอาหาร

“การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปญี่ปุ่นยังมีศักยภาพมาก ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย–ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่เอื้อประโยชน์ต่อการส่งออกของไทยไปญี่ปุ่น อาทิ การมีโควตาส่งออกกล้วยหอมไทยไปญี่ปุ่นกว่า 8,000 ตัน และยังมีผลไม้เมืองร้อนอื่น ๆ ที่ญี่ปุ่นไม่เก็บภาษีนำเข้าจากไทย เช่น มะม่วง ทุเรียน และมะพร้าว อีกทั้งการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของไทยในญี่ปุ่น ได้แก่ สับปะรดห้วยมุ่น กาแฟดอยช้าง และกาแฟดอยตุง จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการไทยเจาะกลุ่มตลาดญี่ปุ่นได้ดียิ่งขึ้น”

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์