การค้า Fair Trade โลกโตต่อเนื่องตามเทรนด์การพัฒนาที่ยั่งยืน

14 ม.ค. 2568 - 03:30

  • หลายประเทศเริ่มตระหนักถึงความสำคัญ Fair Trade

  • มูลค่าการค้าที่เกษตรกรหรือผู้ผลิตได้รับเพิ่มจากราคาขายสินค้าปกติ

  • ช่องทางสร้างโอกาสใหม่ให้สินค้าเกษตรไทยมีมูลค่าสูงขึ้น

economic-business-thai-fair-trade-farmers-entrepreneurs -SPACEBAR-Hero.jpg

พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ศึกษาและติดตามสถานการณ์ มาตรการ และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้า เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์ในการสร้างโอกาสและปรับตัวต่อการค้า พบว่า ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างระบบการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) ที่จะช่วยสร้างความโปร่งใสในกระบวนการการค้า ทำให้เกษตรกรและผู้ผลิตได้ผลตอบแทนที่เหมาะสม รวมถึงผู้บริโภคได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ ตลอดจนตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนใน 3 มิติ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 

การค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) เป็นแนวคิดที่นิยามโดย The International Fair Trade Charter1 หมายถึง ความร่วมมือทางการค้าที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเจรจา ความโปร่งใส และความเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการค้าระหว่างประเทศ เน้นการเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้แก่สินค้า การจัดสรรผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่า และการส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การกำหนดราคาขั้นต่ำที่เป็นธรรม การจัดสรรเงินพิเศษเพื่อพัฒนาชุมชน การสร้างความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกร เป็นต้น 

ข้อมูลจากองค์กรแฟร์เทรดสากล (Fairtrade International) เปิดเผยว่า ในปี ค.ศ. 2022 ประเทศที่มีผู้ผลิตที่ได้รับการรับรองตราสัญลักษณ์ Fairtrade มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ โกตดิวัวร์ เปรู โคลอมเบีย อินเดีย และเคนยา 

สินค้าที่ได้รับการรับรอง Fairtrade

  1. กล้วย (730,176 ตัน) 
  2. โกโก้ (232,847 ตัน) กาแฟ 
  3. (231,188 ตัน) 
  4. อ้อยน้ำตาล (169,042 ตัน) 
  5. ผลไม้สด (102,698 ตัน) 

โดยมูลค่าการค้าที่เกษตรกรหรือผู้ผลิตได้รับเพิ่มจากราคาขายสินค้าปกติ (Fairtrade Premium) คิดเป็นจำนวนเงิน 222.8 ล้านยูโร (หรือ 230.3 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นประมาณ 7,820.8 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 10.5% 

สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (Fairtrade Premium) สูงสุด 

  1. กาแฟ (สัดส่วน 42.9%, 95.6 ล้านยูโร) 
  2. โกโก้ (23.7%, 52.8 ล้านยูโร) 
  3. กล้วย (17.1%, 38.2 ล้านยูโร) 
  4. อ้อยน้ำตาล (4.6%, 10.3 ล้านยูโร) 
  5. ดอกไม้และพืชพันธุ์ (3.4%, 7.6 ล้านยูโร) 
  6. อื่น ๆ (8.3%, 18.3 ล้านยูโร) 

ตลาดที่มีมูลค่าการค้าปลีกสินค้าที่ได้รับการรับรอง Fairtrade สูงสุด 3 

  1. สหราชอาณาจักร
  2. เยอรมนี
  3. สหรัฐอเมริกา

สำหรับประเทศไทย ในปี ค.ศ. 2022 มีสินค้าที่ได้รับการรับรอง Fairtrade จาก FLOCERT4 จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ ข้าว (95.3%) ผลไม้สด (3.3%) และ สมุนไพร ชาสมุนไพร และเครื่องเทศ (1.4%) โดยสามารถสร้าง Fairtrade Premium เพิ่มได้กว่า 220,707 ยูโร (หรือ 228,168.4 เหรียญสหรัฐ5 คิดเป็นประมาณ 7.7 ล้านบาท) (ปริมาณสินค้า 7,270.0 ตัน หรือ 7,270,000 กิโลกรัม) จากข้าว (61.7%)และผลไม้สด (38.3%) ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการด้านการเกษตรที่ขึ้นทะเบียนจำนวน 35 ราย 

ปัจจุบันการค้า Fair Trade ยังเป็นการค้าเฉพาะกลุ่ม แต่มีความสอดคล้องกับกระแสโลกเรื่องความยั่งยืน จึงคาดว่าในอนาคตการค้า Fair Trade จะเติบโตเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยที่จะขายสินค้าเกษตรได้ในราคาสูงขึ้น ทั้งนี้ การผลักดันให้เกิดแนวทางสนับสนุนการค้า Fair Trade และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าที่มาจากการค้าที่เป็นธรรมไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่นำไปสู่ความเท่าเทียมในสังคม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคเกษตรกรรม

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์