รศ.ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า การที่คณะผู้บริหารธนาคารโลก (World Bank) แสดงความสนใจและให้การชื่นชมโครงการหวยเกษียณ หรือสลากออมสินดิจิทัล เพื่อการออมระยะยาว ถือเป็นสัญญาณบวกต่อประเทศไทยในมิติของการออกแบบนโยบายที่ส่งเสริมการออมแบบจูงใจพฤติกรรม (behavioral policy design) โดยมีการผสมผสานแนวคิดแรงจูงใจเชิงพฤติกรรมกับเป้าหมายทางเศรษฐกิจไว้ด้วยกัน
ทั้งนี้เพราะโครงการดังกล่าวได้ใช้กลไกการลุ้นรางวัลเพื่อจูงใจให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ปานกลางถึงรายได้น้อยให้มีการยอมออมเงินในระยะยาว ช่วยให้ประชาชนรู้สึกว่าการออมนั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัว สามารถทำได้ง่ายและยังได้ลุ้นรางวัล ซึ่งจะส่งผลให้เกิดวินัยทางการเงิน โดยแนวทางนี้ไม่ได้ใช้มาตรการภาษีหรือการบังคับเหมือนกับที่หลาย ๆ ประเทศใช้
“ในทางจิตวิทยาเรียกว่าการเสริมแรง (reward reinforcement) เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมในเชิงบวกของมนุษย์ ธนาคารโลกจึงถือว่านี่เป็นตัวอย่างของเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (nudge economics) ที่ช่วยให้ผู้คนออมได้ โดยไม่ผ่านการบังคับ ทั้งยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และนโยบายผู้สูงอายุ (Aging Policy) อีกด้วย”
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปอีกว่า ด้วยเหตุที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ การสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนออมเพื่อวัยเกษียณจึงเป็นนโยบายที่จำเป็น ซึ่งการที่ธนาคารโลกต้องการศึกษาโมเดลนโยบายดังกล่าวของไทย ส่วนตัวมองว่าธนาคารโลกคงต้องการนำไปปรับใช้กับประเทศในแถบแอฟริกา ละตินอเมริกา หรือเอเชียใต้ ที่มีบริบทคล้ายคลึงกัน
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีสิ่งที่ควรให้ความระมัดระวัง คือ นโยบายดังกล่าวอาจกลายเป็นนโยบายการพนัน ที่แฝงมาในรูปแบบการออม เพราะหากนานไปอาจทำให้พฤติกรรมหรือวินัยในการออมเงินระยะยาวของประชาชนเปลี่ยนแปลงไป เพราะเน้นและคาดหวังถึงผลรางวัลมากกว่าความมั่นคงทางการเงิน รวมไปถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชน จนอาจทำให้บางกลุ่มหลงเข้าใจผิดว่า หวยเกษียณ คือ การลงทุนที่คุ้มค่า ซึ่งตามหลักการกระจายความเสี่ยงแล้วควรจะต้องมีการกระจายการลงทุนในหลากหลายรูปแบบ
ดังนั้นภาครัฐต้องไม่ทำให้โครงการหวยเกษียณกลายเป็นการพนันแฝง หรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นการลงทุนหวังผลตอบแทนสูง รัฐจึงต้องมีการกำกับดูแลและสื่อสารทางสาธารณะอย่างชัดเจนว่าโครงการนี้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การออมเพื่อวัยเกษียณ และในระยะยาวควรมีการศึกษาผลกระทบต่อพฤติกรรมการออม การใช้จ่ายของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง เพื่อปรับปรุงนโยบายให้เข้ากับบริบทของสังคมไทยที่มีความเป็นพลวัตอย่างสม่ำเสมอ
มากไปกว่านั้น รัฐควรส่งเสริมการออมในรูปแบบดังกล่าวควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างบำนาญถ้วนหน้าและรัฐสวัสดิการ เพื่อแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน เพราะบริบทของสังคมไทยในวันนี้ ผู้มีสวัสดิการบำนาญหลังเกษียณไม่ถึง 10% เท่านั้น และผู้สูงวัยส่วนใหญ่ประคองชีวิตตนเองด้วยเบี้ยผู้สูงอายุ จำนวน 700 - 1,250 บาท ต่อเดือน ตามแต่ช่วงอายุที่รัฐจัดสรรให้ ซึ่งส่วนตัวมองว่าน้อยเกินไป ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ จริงๆ เบี้ยผู้สูงอายุควรจะพิจารณาปรับเพิ่มให้อยู่ที่ 2,000 บาทต่อเดือนเป็นอย่างต่ำ จึงจะสอดคล้องกับค่าครองชีพของท้องถิ่น
รศ.ดร.อัจฉรา กล่าวต่อไปอีกว่า มีกรณีศึกษาตัวอย่างเรื่องระบบการบริหารจัดการดบำนาญของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ชื่อว่าระบบบำนาญ 3 เสาหลัก (Three Pillars) ประกอบด้วย
- เสาที่หนึ่ง เงินบำนาญภาคบังคับที่รัฐจัดสรรให้
- เสาที่สอง เงินบำนาญที่เกิดจากการสมทบร่วมกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ฝ่ายละ 50% ซึ่งคล้ายคลึงกับระบบประกันสังคมของไทย
- เสาที่สาม เงินบำนาญที่เกิดจากการออมแบบสมัครใจ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และประกันชีวิตแบบบำนาญ เป็นต้น
ทั้งนี้ ด้วยกลไกของระบบบำนาญทั้ง 3 เสา จะออกแบบให้ผู้ที่กำลังจะเกษียณมีรายรับต่อเดือน มากกว่า 60% ของฐานเงินเดือนสุดท้าย คิดเป็นเงินขั้นต่ำโดยเฉลี่ยราว 29,000 ฟรังก์ต่อปี ซึ่งจะทำให้ผู้คนเหล่านั้น มีความพร้อมในการใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายอย่างมีคุณภาพ สิ่งต่างๆเหล่านี้ ประเทศไทยสามารถนำมาปรับใช้เพื่อยกระดับการรับมือภาวะสังคมสูงวัยที่กำลังเผชิญได้
“เราควรมองในเรื่องสวัสดิการของผู้สูงอายุ เป็นรูปแบบของความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ มันไม่ใช่แค่ว่าว่าเราเป็นคนชรา แล้วเราได้เงินบำนาญเพียงเพื่อแค่ประทังความยากจนเท่านั้น เพราะนอกจากจะมีชีวิตขั้นพื้นฐานที่ดีแล้ว เขาควรจะต้องมีชีวิตที่มีคุณภาพด้วย ไม่ใช้แค่ใช้ชีวิตอยู่ได้”