ทีมข่าว Spacebar Big City สำรวจภารกิจ Better Pattaya Bay ที่หวังพัฒนาชายหาดและอ่าวเมืองพัทยาให้ดียิ่งขึ้น
โดยเมืองพัทยากำลังเข้าสู่หน้าไฮซีซั่น และการท่องเที่ยวของเมืองพัทยาได้ฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์แล้ว ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากหลั่งไหลเข้าพื้นที่มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกิจกรรมการท่องเที่ยวทางทะเล ที่เป็นไฮไลท์ของเมืองพัทยา
จากการสำรวจ พบว่า วันหยุดสุดสัปดาห์ชายหาดพัทยามีนักท่องเที่ยวหนาตากว่าปกติ แต่ยังมีปัญหาบางส่วน เช่น เจ็ทสกีและสปีทโบ้ตยังไม่มีจุดรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากไม่มีท่าสำหรับเรือเจ็ทสกีโดยเฉพาะ ผู้ประกอบการใช้วิธีจอดรับผู้โดยสารที่ริมชายหาดตลอดทั้งระยะทาง 2.7 กม. ตั้งแต่เขตหาดพัทยาเหนือถึงพัทยาใต้

ล่าสุดเมืองพัทยาได้ประสานงานกับหน่วยป้องกันภัยพิบัติทางทะเล กรมเจ้าท่าเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์เรือ และผู้ประกอบการในโซนชายหาดพัทยาดูแลการสัญจร และการเข้าจอดของเรือ โดยเน้นย้ำให้รับนักท่องเที่ยวในจุดที่จัดไว้ให้เท่านั้น โดยมีบริเวณหาดพัทยาเหนือ 1 จุด และพัทยาใต้ 1 จุด และให้ห้ามเรือเจ็ทสกีเข้าใกล้ชายฝั่งในระยะ 200 เมตร เปิดพื้นที่แนวหาดให้นักท่องเที่ยวได้เล่นน้ำและกิจกรรมหน้าหาด เพื่อความเป็นระเบียบในการใช้ชายหาดร่วมกัน ตามแนวทาง ‘พัทยาโมเดล’ เพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย


ศรัทธา เอกสมัย นายกสมาคมเรือท้องถิ่นพัทยาและผู้ประกอบการเรือ กล่าวว่า เห็นด้วยกับการจัดระเบียบเรือสปีดโบ๊ท เรือเจ็ตสกี เพื่อให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งในการจัดระเบียบครั้งนี้ก็อยากให้เป็นรูปธรรม

“อยากให้เมืองพัทยา ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวตามจุดต่างๆที่จอด เรือสปีดโบ๊ท เรือเจ็ตสกี โดยปกติเรือเหล่านี้จะจอดหานักท่องเที่ยวตามชายหาด ซึ่งตอนนี้ได้รับผลกระทบ เนื่องจากนักท่องเที่ยวบางรายไม่อยากเดินไปขึ้นที่จุดที่จัดไว้ เนื่องจากเสียเวลา ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาท่องเที่ยวชายหาด เมื่อเห็นเรือสปีดโบ๊ท เรือเจ็ตสกี ก็อยากจะอยากนั่งเรือเล่น นั่งเรือท่องเที่ยว แต่พอจะนั่งเรือสปีดโบ๊ท เรือเจ็ตสกี ต้องไปตามจุดที่จัดไว้ ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนเปลี่ยนใจไม่ใช้บริการ จึงอยากวอนให้เมืองพัทยาประชาสัมพันธ์จุดจอด เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่รับทราบข้อมูลที่จะใช้บริการให้มากขึ้น”
เพ็ญ นักท่องเที่ยวคนหนึ่ง กล่าวว่า มีการจัดระเบียบ เรือสปีดโบ๊ท เรือเจ็ตสกี ก็เป็นเรื่องที่ดี ทำให้ไม่เกิดปัญหากับนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำ หากไม่ระมัดระวังก็อาจเกิดความอันตรายได้

สมชาย มีวงศ์ นักท่องเที่ยว กล่าวว่า จากการที่เมืองพัทยาเริ่มจัดระเบียบเรือสปีดโบ๊ท เรือเจ็ตสกี ก็เป็นเรื่องที่ดี ทำให้มีพื้นที่เล่นน้ำได้สะดวกสบายมากขึ้น

ขณะที่ บุญเชิด ขวัญเมือง ผู้ประกอบการเรือ กล่าวว่า การจัดระเบียบเรือเป็นเรื่องที่ดี แต่ได้รับผลกระทบเรื่องจุดจอดรับส่งนักท่องเที่ยวที่มีเพียงแค่ 2 จุด ซึ่งระยะทางไกลเกินไปที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาลงเรือ

“ถ้ามีจุดจอดรับส่งนักท่องเที่ยวเพิ่ม 2-3 จุด ก็จะเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งทางระเบียบของกรมเจ้าท่า เวลาตั้งแต่ 08.00 น. ห้ามจอดเรือบริเวณหน้าชายหาดให้ไปจอดนอกฝั่ง หากมีนักท่องเที่ยวที่จะใช้บริการค่อยนำเรือเข้ามารับนักท่องเที่ยว โดยในช่วงหน้าลมแรงและหน้าหนาว ทำให้เรือเข้ามารับส่งนักท่องเที่ยวลำบาก ในกรณีหน้าร้อนน้ำลด ทำให้นักท่องเที่ยวขึ้นลงลำบาก อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ในฐานะผู้ประกอบการเรือ ก็เห็นด้วยกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่มีการจัดระเบียบ หากไปลงเรือที่บริเวณแหลมบาลีฮาย ก็จะทำให้เกิดความแออัด จึงขอความเห็นใจจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เห็นใจผู้ประกอบการเรือบ้าง ให้อำนวยความสะดวกผู้ประกอบการเรือบ้าง อย่าตั้งกฎกติกามากจนเกินไป ซึ่งทางผู้ประกอบการเรือพร้อมให้ความร่วมมือในการจัดระเบียบ หากจะใช้ระเบียบไม่สามารถรับนักท่องเที่ยวที่ชายหาด ก็ขอให้เวลาผู้ประกอบการบางรายที่อยากเลิกกิจการ ได้มีเวลาขายเรือ เนื่องจากบางรายลงทุนซื้อเรือมาเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว”
เช่นเดียวกับ วันชัย เลิศนิรันดร์ ผู้ประกอบการเรือ กล่าวว่า อยากให้หน่วยงานภาครัฐได้มีการประชาสัมพันธ์จุดรับส่งนักท่องเที่ยวทั้ง 2 จุด ซึ่งผู้ประกอบการเรือต้องนำเรือไปจอดห่างจากชายฝั่งประมาณ 200 เมตร

“มาตรการนี้ทำให้ได้รับผลกระทบ เนื่องจากต้องจ้างเรือเจ็ตสกีทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น หากรับนักท่องเที่ยวได้ 2-3 คนได้แล้ว แต่พอจะให้นักท่องเที่ยวเดินไปขึ้นเรือ 200-300 เมตร นักท่องเที่ยวบางคนก็เปลี่ยนใจไม่ใช้บริการ ทำให้ผู้ประกอบการเรือได้รับความเดือดร้อนเรื่องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม”
โดยมาตรการจัดระเบียบชายหาดคืนพื้นที่เล่นน้ำ ได้เริ่มใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา จากการติดตามความคืบหน้า พบว่า บรรยากาศโดยรวมของชายหาดพัทยา เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ผู้ประกอบการเจ็ทสกีส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ แต่ยังมีบางส่วนที่ยังฝ่าฝืนอยู่บ้าง ซึ่งขั้นต้นเจ้าหน้าที่ได้ว่ากล่าวตักเตือนก่อน หากพบยังฝ่าฝืนซ้ำ จะลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งในส่วนนี้กรมเจ้าหน้าที่จะเป็นผู้รับผิดชอบ และอาจจะถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตต่อไป

