ไพศาล สุขเจริญ นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคเหนือ(ตอนบน) เปิดเผยถึงโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ปี 2568 ว่า หากว่าเงื่อนไขเหมือนกับโครงการครั้งแรกจะถือว่าส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่เป็นอย่างมาก แต่ในครั้งนี้ อยากให้ภาครัฐทบทวนเงื่อนไขไม่อยากให้มีการจำกัดเวลาในการใช้สิทธิ เพราะต้องมีเวลาให้ได้จองตั๋วเดินทางด้วย ซึ่งอาจจะทำให้กลายเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว
ขณะนี้ผู้ประกอบการโรงแรมตื่นตัวที่จะเข้าร่วมโครงการนี้เป็นจำนวนมาก เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น และภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง กำลังซื้อลดน้อยลงมาก หากว่าโครงการนี้สามารถเดินหน้าให้ทันในช่วงโลว์ซีซั่นก็จะส่งผลให้อัตราเข้าพักของโรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่เฉลี่ยร้อยละ 45 ก็จะขยับขั้นอีกร้อยละ 30 ซึ่งถือว่าจะทำให้บรรยากาศของการท่องเที่ยวคึกคักจากการจับจ่ายของนักท่องเที่ยว

“แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ การจะให้สิทธิแก่ผู้ประกอบการโรงแรมนั้น อยากให้พิจารณาสถานประกอบการที่มีใบอนุญาตประกอบการธุรกิจโรงแรมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่หากว่าให้สิทธิ์กับสถานประกอบการที่ไม่มีใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายนั้น เท่ากับว่า ไม่ยุติธรรมกับผู้ประกอบการที่ต้องเสียภาษีคืนให้กับภาครัฐ ซึ่งทางภาครัฐควรจะให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ด้วย”

ไพศาล กล่าวต่อไปว่า ตอนนี้ในจังหวัดเชียงใหมมีห้องพักมากถึง 65,000 ห้อง ทั้งในรูปแบบโรงแรมขนาดเล็ก, ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ ประมาณ 40,000 ห้อง , กลุ่มโฮเทล และเกสท์เฮ้าส์ ประมาณ 20,000 ห้อง และกลุ่มที่นำคอนโด และตึกแถวมารีโนโวทเป็นห้องพักอีกประมาณ 5,000 ห้อง ซึ่งกลุ่มหลังนี้ถือว่า ภาครัฐต้องลงพื้นที่อย่างเข้มข้นในการตรวจสอบ เพราะนั่นหมายถึงความไม่ปลอดภัยของโครงสร้าง และชีวิตและทรัพย์สินของผู้เข้าพัก

ด้าน วาสนา ทองสุข ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า หากโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง ปี 2568 สามารถที่จะดำเนินการได้ทันในช่วงโลว์ซีซั่นนี้ จะถือว่าช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการกระตุ้นทางการท่องเที่ยวภายในประเทศได้ เพราะขณะนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า การท่องเที่ยวซบเซาอย่างหนัก กำลังซื้อในการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
“ดังนั้น สิ่งที่ภาครัฐต้องเร่งดำเนินการคือ ควรจะผลักดันให้มีแคมเปญ หรือเมกะโปรเจคให้กับการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการบ้านที่ต้องเร่งดำเนินการ ตลาดในประเทศให้กลับมาคึกคัก และเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากบรรยากาศการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่เงียบเหงา ขณะที่ตลาดต่างประเทศ แทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวชาวจีน และยังไม่มั่นใจว่าจะกลับมาฟื้นให้เหมือนเดิมได้หรือไม่”

ขณะที่นักวิชาการ ผศ.ดร.พบกานต์ อาวัชนาการ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า หากว่ามีการปรับงบประมาณของโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งปี 2568 จาก 3,500 ล้านบาท เหลือ 1,750 ล้านบาทจริง ก็ไม่มั่นใจว่าจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้หรือไม่ เพราะเท่ากับว่าจำนวนสิทธิและสิทธิประโยชน์ก็จะลดน้อยลง และหากว่าไทม์ไลน์ของโครงการไม่พร้อมที่จะใช้งานในช่วงโลว์ซีซั่นของปีนี้ ก็อาจจะถูกเลื่อนโครงการออกไปอีก
นอกจากนั้น เวลาในการใช้สิทธิเป็นวันจันทร์ถึงวันศุกร์ และไม่มีสิทธิของการจองตั๋วเครื่องบิน รวมไปถึงการโฟกัสไปที่เมืองรอง สิทธิประโยชน์น้อยลงกว่าครั้งก่อน ทำให้ไม่มีแรงจูงใจที่จะกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวออกมาเที่ยว ท่ามกลางกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวที่ลดลง สภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา กลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจที่จะออกมาจับจ่ายใช้สอย และอาจไม่ตอบโจทย์ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงโลว์ซีซั่น
“นอกจากนี้ ในจำนวนงบประมาณที่มีอยู่จำกัดอยู่แล้ว แต่ภาครัฐกลับจะไปพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่อีก ทั้งที่มีแอปพลิเคชั่นอยู่แล้ว ถือว่าเป็นการใช้งบประมาณสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ควรนำงบประมาณมาเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับนักท่องเที่ยวจะดีกว่า และยังอาจจะเป็นการยุ่งยากและไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนสร้างแอปพลิเคชั่นตัวใหม่ อีกทั้งการที่จะให้นักท่องเที่ยวเข้าไปกระจายเม็ดเงินในเมืองรอง จะตอบโจทย์ได้หรือไม่ เพราะมีเงื่อนไขทั้งเวลา และสิทธิประโยชน์ในการเดินทาง” ผศ.ดร.พบกานต์ กล่าว


