‘ปุ๋ยคนละครึ่ง’ ใครได้? ชาวนาภาคเหนือซัดไม่ตอบโจทย์-เอื้อนายทุน

7 ก.ค. 2567 - 07:19

  • ชาวนาภาคเหนือเดือด ‘ปุ๋ยคนละครึ่ง’ สร้างภาระเพิ่ม ไม่ช่วยลดต้นทุน แถมเปิดช่องนายทุนได้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ

  • อัดรัฐบาลใช้ชาวนาเป็นเครื่องมือ มากกว่าช่วยเหลือให้ลืมตาอ้าปาก

  • ชาวนาอินทรีย์ ยังงงเป็นไก่ตาแตก มีศักยภาพและปลอดภัย แต่ไร้การเหลียวแล

economic_fertilizer_northern_farmers_capitalists_SPACEBAR_Hero_af28da3fe9.jpg

ชาวนาก็คือชาวนา ที่ผ่านมามักตกเป็นเครื่องมือในวงวนของกลุ่มผู้ได้ผลประโยชน์มาโดยตลอด ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้มาทำงาน ไม่ได้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา หรือสร้างความยั่งยืนให้กับชาวนา นึกถึงตอนหาเสียงขอคะแนนจากชาวนา กลับไม่มีผลผลิตเป็นชิ้นเป็นอัน ตอนนี้ต้นทุนของชาวนาปรับขึ้นหมด เพราะฉะนั้นโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ไม่ได้ตอบสนองความต้องการของชาวนา และทำให้ชีวิตชาวนาแย่ลง” 

เสียงสะท้อนความรู้สึกจาก ‘จำรัส ลุมมา’ ประธานสมาพันธ์เกษตรจังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน ที่ทีมข่าว Spacebar Big City ไปพูดคุยด้วย

’จำรัส‘ เปิดใจถึงเงื่อนไขของโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ที่กำหนดให้กับเกษตรกรไม่เกินครัวเรือนละ 500 บาทต่อไร่ และจำกัดไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาทว่า รัฐบาลคิดโครงการนี้มาได้อย่างไร เหมือนจะช่วยเหลือให้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้ แต่ข้อเท็จจริงกลับเป็นการเดินถอยหลังลงคลอง สร้างภาระหนี้สินให้กับชาวนา และไม่ได้ช่วยลดต้นทุนในการผลิตข้าวให้กับชาวนาแต่อย่างใด

“ยกตัวอย่างทำนาดำ 20 ไร่ในอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ มีต้นทุนค่าปลูก, ค่าเมล็ดพันธ์, ค่ารถไถ, ค่าปุ๋ย และค่าแรงงาน เฉลี่ยไร่ละ 3,500-4,000 บาท ทำไมไม่มาช่วยเกษตรกรดูราคาผลผลิตให้ได้ราคาดี ทุกวันนี้ราคาข้าวร่วงลงอย่างต่อเนื่อง แต่กลับมาทำโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง ซึ่งไม่ได้ตอบโจทย์ความเดือดร้อนของชาวนาอย่างแท้จริง ในทางตรงกันข้าม สังเกตได้ว่า เป็นเอื้อประโยชน์ต่อนายทุนมากกว่า”

ประธานสมาพันธ์เกษตรจังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน

’บัญชา พลชมชื่น’ ชาวนาอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า แม้ว่าจะไปขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2567/68แล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นรายละเอียดที่ชัดเจนว่า โครงการปุ๋ยคนละครึ่งจะช่วยเหลือชาวนาอย่างไร เพราะตอนนี้เป็นช่วงที่ปลูกข้าวไปแล้ว และถึงเวลาที่ต้องใส่ปุ๋ยก็ต้องลงทุนไปก่อนกว่า 3,000 บาท ยังไม่มั่นใจว่าจะใช้สิทธิในการขอรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลได้หรือไม่ และชาวนาแต่ละราย ก็ใช้ปุ๋ยแตกต่างกันทั้งสูตรและยี่ห้อ ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจะขายถูกกว่า หรือแพงกว่า ก็ยังไม่มีความชัดเจนใด ๆ

เปรียบเทียบต้นทุนในการทำนาเก็บเกี่ยวไร่ละ 700 บาท ค่าไถนา 2 รอบๆละ 600บาท และการทำนาของแต่ละราย มีต้นทุนแตกต่างกัน ยิ่งตอนนี้ราคาน้ำมันแพง หากจะให้ชาวนาเข้าร่วมโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง หากต้องมาควักเงินสด ก็คงไม่ใช่การช่วยเหลือชาวนา เพราะแต่เดิมก็ใช้สินเชื่อของสถาบันการเงินหรือสหกรณ์ เมื่อขายข้าวได้ก็จะมีเงินมาเคลียร์หนี้สิน จึงมองว่ารัฐบาลไม่ได้ช่วยเหลืออย่างจริงใจ ซึ่งหากว่ากลับไปสู่การรับจำนำข้าวได้จะดีมาก เพราะได้ราคาดี แต่น่าเสียดายที่กลไกพัง เพราะมีการหาผลประโยชน์จากชาวนา

economic_fertilizer_northern_farmers_capitalists_SPACEBAR_Photo02_da7eb33060.jpg
บัญชา พลชมชื่น ชาวนาอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่

“รัฐบาลชุดนี้กำลังเดินผิดทาง การช่วยเหลือชาวนาไม่ใช่การนำเงินมาจ่ายแล้วลอยตัว เพราะสุดท้ายกลไกก็ล้มไม่เป็นท่า หากอยากจะช่วยชาวนาจริงๆ ทำไมไม่วางแผนการบริหารจัดการ รัฐบาลมีข้อมูลอยู่ในมืออยู่แล้ว แต่ทุกวันนี้กลับเปิดช่องเอื้อให้กับกลุ่มนายทุน และสร้างเงื่อนไขที่ยุ่งยากให้กับชาวนา เงิน 10,000 บาทต่อครัวเรือน ถามว่าแม้จะถึงมือชาวนาก็จริง แต่ผลประโยชน์ที่มากกว่าใครได้รับ”

บัญชา พลชมชื่น ชาวนาอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่

พระสุพจน์ ป้อมชัย อดีตปราชญ์ชาวนา จ.ลำพูน ให้ความเห็นเกี่ยวกับโครงการปุ๋ยคนละครึ่งว่า กรณีที่รัฐบาลจะสนับสนุนให้ชาวนาได้ซื้อปุ๋ยคนละครึ่ง เพื่อพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้เข้มแข็ง เกิดความยั่งยืนและลดภาระการเงินการคลังของประเทศ จะต้องไม่เอื้อประโยชน์กับนายทุน แต่ต้องให้ชาวนาสามารถที่จะมีสิทธิในการต่อรอง สามารถสั่งซื้อปุ๋ยล็อตใหญ่จากผู้ผลิตโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านร้านค้า ซึ่งราคาปุ๋ยจะถูกลงถึงร้อยละ 20  

ตอนนี้ตั้งข้อสังเกตว่า ในเมื่อรัฐบาลพยายามส่งเสริมข้าวอินทรีย์และข้าวปลอดภัย แต่กลับมาส่งเสริมให้มีโครงการปุ๋ยคนละครึ่งที่เป็นเคมี ทำให้มองว่ากลุ่มชาวนากลุ่มนี้ จะได้รับการช่วยเหลือเช่นเดียวกันหรือไม่ การช่วยเหลือของรัฐบาลไม่ตรงจุด ในทางตรงกันข้าม กลับสร้างความอ่อนแอให้กับชาวนา ทำไมไม่นำงบประมาณไปต่อยอดให้กลุ่มชาวนาที่ทำข้าวอินทรีย์ หรือข้าวปลอดภัย ให้มีความเข้มแข็ง ไม่ใช่ว่าให้ชาวนามาแบกภาระหนี้สินไม่จบสิ้น แถมยังต้องขายข้าวเปลือกราคาถูกให้กับโรงสี และซื้อข้าวสารจากโรงสีราคาแพงกลับมากิน

economic_fertilizer_northern_farmers_capitalists_SPACEBAR_Photo03_665312210a.jpg

ขณะที่ ‘สุรพล เต็มสวัสดิ์’ ชาวนาอำเภอภูกามยาว จ.พะเยา กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะทำโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง หากจะนำเงินส่วนที่เป็นครึ่งหนึ่งของเกษตรกรวางให้กับร้านค้าก่อน เชื่อว่าชาวนาคงไม่มีศักยภาพ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี และมองว่ารัฐบาลควรจะส่งเสริมในเรื่องของการลดต้นทุนการผลิตส่งเสริมให้ชาวนาทำการเกษตรแบบอินทรีย์

”ในส่วนของผมนั้นจากโครงการไร่ละ 1,000 บาท ก็ยังได้รับประโยชน์อยู่ แต่หากว่ามีการลงทะเบียนปุ๋ยคนละครึ่ง คงจะไม่เข้าร่วม เพราะทุกวันนี้ก็ทำเกษตรแบบอินทรีย์ โดยผลิตปุ๋ยใช้เองซึ่งก็ให้ผลผลิตที่เป็นที่พอใจ และจากที่คุยกับหลายคนถึงโครงการ มองว่า อาจจะมีการที่เอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการหรือไม่ และเกษตรกรหลายคนก็ยังมีความกังวลอยู่“

สุรพล เต็มสวัสดิ์ ชาวนาอำเภอภูกามยาว จ.พะเยา

economic_fertilizer_northern_farmers_capitalists_SPACEBAR_Photo01_61cecc7c4d.jpg
สุรพล เต็มสวัสดิ์ ชาวนาอำเภอภูกามยาว จ.พะเยา

ข้อมูลในปีการผลิต 2566/67 เกษตรกรได้แจ้งขึ้นทะเบียนการเพาะปลูกข้าวนาปี(รอบที่ 1) ข้อมูล ณ วันที่ 16 เม.ย.2567 มีเกษตรกรขึ้นทะเบียน 4,608,371 ครัวเรือน ทำการเพาะปลูกแล้ว 60,946,056 ไร่ โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือการปลูกมากที่สุด 38,188,687 ไร่ รองลงมาคือภาคเหนือ 14,437,723 ไร่ ภาคกลาง 7,747,597 ไร่ และภาคใต้ 572,048 ไร่

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์