3 กลุ่มธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า เด้งโตรับตลาดรถ EV

6 มีนาคม 2567 - 07:09

economic-future-mobility-hub-ev-industry-SPACEBAR-Hero.jpg
  • ไทยมีความพร้อมที่จะดึงดูดการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ

  • ผู้บริโภคหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่ม

  • ตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย ‘ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า’ (EV Industry) เด้งโตรับตลาดผู้บริโภคขยายก้าวกระโดด 3 กลุ่มธุรกิจรับอานิสงส์เต็ม ๆ คือ 

  1. กลุ่มผู้ผลิตระบบควบคุมไฟฟ้า
  2. กลุ่มผู้ผลิตระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  3. กลุ่มธุรกิจสถานีชาร์จ

ส่วนปัจจัยที่สนับสนุนให้เติบโตมาจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคหันมาใช้รถยนต์ EV มากขึ้น เพื่อเปลี่ยนจากการใช้เครื่องยนต์สันดาปเป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และช่วยลดฝุ่นพิษ รวมถึงรัฐบาลออกนโยบายส่งเสริมด้านต่าง ๆ กระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ ทั้งนี้ จากบทวิเคราะห์พบว่า สัญชาติของผู้ถือหุ้นในนิติบุคคลไทยมีญี่ปุ่น และจีนที่มีการลงทุนในไทยเป็นส่วนใหญ่ สะท้อนศักยภาพที่ดีของประเทศไทยในการลงทุนด้านรถยนต์ไฟฟ้า และสอดรับกับวิสัยทัศน์ลำดับที่ 6 ของรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต ทั้งนี้ มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจรถยนต์ EV ตามพ.ร.บ.ต่างด้าว 4 ปีย้อนหลัง จำนวน 14 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 22,134.80 ล้านบาท

อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์ธุรกิจที่น่าสนใจประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2567 พบว่า ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV Industry) เป็นกลุ่มธุรกิจที่น่าจับตามอง และมีอัตราการเติบโตสูงทั้งตลาดรถยนต์ในประเทศไทยและตลาดโลก เนื่องจากมีปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนหลายด้าน เช่น ปัจจัยด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้าและไฮบริดมากขึ้น จากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก พบว่า ช่วงปี 2563-2566 มีอัตราการจดทะเบียนรถประเภทนี้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 116.69% สอดรับกับปัจจัยด้านนโยบายสนับสนุนของรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในปี 2573 ต้องมีรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์อย่างน้อย 30% ของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ ประกอบกับการส่งเสริมแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นด้วยการลดภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิตลง ปัจจัยด้านสถานการณ์น้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปัจจัยด้านฝุ่นพิษที่ทวีความรุนแรงขึ้น การใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นส่วนช่วยแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว

อธิบดี กล่าวต่อว่า จากการวิเคราะห์เชิงลึกพบว่า กลุ่มตัวอย่างธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นนิติบุคคลไทยที่น่าสนใจแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 

  • กลุ่มผู้ผลิตระบบควบคุมไฟฟ้า (Control Charging Plug and Socket) จดทะเบียนนิติบุคคลจำนวน 31 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 14,537.19 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาด L จำนวน 22 ราย คิดเป็น 70.97% มูลค่าทุนจดทะเบียน 14,480.19 ล้านบาท รองลงมาธุรกิจขนาด S จำนวน 5 ราย คิดเป็น 16.13% มูลค่าทุนจดทะเบียน 16 ล้านบาท และธุรกิจขนาด M จำนวน 4 ราย คิดเป็น 12.90%มูลค่าทุนจดทะเบียน 41 ล้านบาท สัญชาติของผู้ถือหุ้นประกอบไปด้วย ญี่ปุ่น มูลค่าการลงทุน 7,870.19 ล้านบาท รองลงมาคือไทย มูลค่าการลงทุน 3,137 ล้านบาท และอินเดีย มูลค่าการลงทุน 400 ล้านบาท 
  • กลุ่มผู้ผลิตระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Devices) จดทะเบียนนิติบุคคลจำนวน 122 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 76,674.67 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาด L จำนวน 85 ราย คิดเป็น 69.67% มูลค่าทุนจดทะเบียน 71,967.55 ล้านบาท รองลงมาธุรกิจขนาด S จำนวน 21 ราย คิดเป็น 17.22% มูลค่าทุนจดทะเบียน 3,578.22 ล้านบาท และธุรกิจขนาด M จำนวน 16 ราย คิดเป็น 13.11% มูลค่าทุนจดทะเบียน 1,128.90 ล้านบาท สัญชาติของผู้ถือหุ้นประกอบไปด้วย ญี่ปุ่น มูลค่าการลงทุน 53,512.72 ล้านบาท รองลงมาคือไต้หวัน มูลค่าการลงทุน 7,108.25 ล้านบาท และไทย มูลค่าการลงทุน 4,864.84 ล้านบาท
  • กลุ่มธุรกิจสถานีชาร์จ (EV Charging Station) จดทะเบียนนิติบุคคลจำนวน 9 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 31,758.46 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาด Mจำนวน 4 ราย คิดเป็น 44.44% มูลค่าทุนจดทะเบียน 31,328.01 ล้านบาท รองลงมาธุรกิจขนาด S จำนวน 4 ราย คิดเป็น 44.44% มูลค่าทุนจดทะเบียน 53.88 ล้านบาท และธุรกิจขนาด L จำนวน 1 ราย คิดเป็น 11.12% มูลค่าทุนจดทะเบียน 376.57 ล้านบาท สัญชาติของผู้ถือหุ้นเป็นสัญชาติไทยทั้งหมด
ข่าวที่น่าสนใจ

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์