ธปท.เตือนรัฐบาล พักหนี้เกษตรกรหว่านแหแก้ผิดจุด

29 ก.ย. 2566 - 09:21

  • มาตรการพักหนี้เกษตรกร อาจไม่สวยหรูอย่างที่รัฐบาลตั้งความหวัง

  • แบงก์ชาติเตือนส่งผลเสียต่อวินัยทางการเงิน ก่อหนี้เรื้อรังมากขึ้น

  • แนะให้แก้ไขหนี้เฉพาะกลุ่ม แยกออกมาให้ชัดเจน

economy_bad_debt_credit_bureau_covid_personal_loan_finance_SPACEBAR_Hero_6287c9c784.jpg

จากกรณีที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 มีมติเห็นชอบมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยเป็นเวลา 3 ปี ตามนโยบายรัฐบาลระยะที่ 1 รวมถึงการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำหรับลูกหนี้ที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้ทุกสัญญารวมกันไม่เกิน 300,000 บาท มีลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการกว่า 2.69 ล้านราย โดยรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณมาชดเชยภาระดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส.วงเงิน 11,096 ล้านบาท และอีก 1,000 ล้านบาท ใช้ในโครงการการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ ธ.ก.ส.ที่เข้าร่วมมาตรการดังกล่าว มติครม.ดังกล่าว 

จากการตรวจสอบ พบว่าก่อนการประชุม และมีมติครม.ดังกล่าว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สลค.ได้มีหนังสือลงวันที่ 25 กันยายน 2566 ขอความเห็นจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อประกอบการพิจารณาใน ครม. และต่อมา ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ก็ได้มีหนังสือ “ลับ” เสนอความเห็นธปท. ประกอบการพิจารณามาตรการพักชําระหนี้เกษตรกรให้ที่ประชุมครม.พิจารณาด้วย 

หนังสือลับธปท.ฉบับดังกล่าว แสดงความกังวลเกี่ยวกับมาตรการพักชําระหนี้เกษตรกรที่เสนอต่อ ครม. ว่า แม้ว่ามาตรการพักชำระหนี้เกษตรกรในในครั้งนี้ จะแตกต่างจากการพักหนี้ ที่ผ่านมาในบางประเด็น ซึ่ง ธปท. ยังมีข้อกังวลว่าแนวทางในภาพรวมอาจยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกรได้อย่างยั่งยืน ใน 3 ประเด็น

ประเด็นที่ 1 : การพักชําระหนี้ไม่ควรเป็นเครื่องมือหลักของรัฐในการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับเกษตรกรทุกกลุ่ม จากสถานการณ์หนี้ในปัจจุบัน รัฐควรให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาให้แก่กลุ่มหนี้เรื้อรังที่มีจํานวนกว่าครึ่งของลูกหนี้ ธ.ก.ส. ที่มีภาระหนี้สูงจนไม่สามารถชําระหนี้เพื่อลดต้นเงิน และไม่สามารถแก้ไขหนี้ด้วยตนเองได้ ซึ่งยังไม่มีนโยบายช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม (policy gap)

ประเด็นที่ 2 : การพักชําระหนี้ในครั้งนี้เป็นการพักหนี้แบบวงกว้าง ดังนั้นภายใต้งบประมาณที่จํากัด รัฐจึงกําหนดกลุ่มเป้าหมายตามยอดหนี้คงค้างไม่เกิน 300,000 บาท ทําให้การช่วยเหลือไม่ตรงจุด ทําให้รัฐไม่สามารถให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มลูกหนี้ที่ควรได้รับความช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง และครอบคลุม

ประเด็นที่ 3 : การพักหนี้โดยไม่มีกลไกจูงใจให้ลูกหนี้ที่มีศักยภาพยังชําระหนี้ต่อเนื่อง จะส่งผลต่อวินัยทางการเงินของลูกหนี้ ทําให้ลูกหนี้ที่เคยมีพฤติกรรมชําระหนี้ดีอาจหยุดชําระหนี้ เกิดปัญหา moral hazard ช่วยให้ลูกหนี้ตกอยู่ในวังวนหนี้โดยไม่จําเป็น และกลายเป็นหนี้เรื้อรังมากขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นภาระของภาครัฐและ ธ.ก.ส. ในระยะข้างหน้า

ในหนังสือลับธปท. ระบุว่า มาตรการพักชําระหนี้ในครั้งนี้ ธปท. เห็นว่าควรพิจารณาแนวทางดําเนินการเพิ่มเติม เพื่อป้องกันมิให้ปัญหาหนี้เกษตรกรเรื้อรังและรุนแรงมากขึ้น ดังนี้

  1. กําหนดแนวทางแก้ไขหนี้จะต้องสอดคล้องกับศักยภาพและปัญหาของลูกหนี้แต่ละกลุ่ม โดยควรให้ความสําคัญกับการช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้เรื้อรัง (persistent debt) ที่การพักหนี้จะยิ่งทําให้ความเป็นหนี้เรื้อรังยืดเยื้อขึ้น แต่ควรส่งเสริมให้ ธ.ก.ส. ปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับศักยภาพลูกหนี้อย่างทั่วถึง รวมทั้งรัฐควรมีมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระหนี้ที่ทําให้ลูกหนี้สามารถลดภาระหนี้ได้ในระยะยาว
  2. การพักหนี้ในครั้งนี้ ควรมีกลไกสร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้ที่มีศักยภาพยังชําระหนี้ต่อเนื่อง โดยออกแบบมาตรการที่ให้ผลตอบแทนแก่ลูกหนี้มากพอที่จะยังชําระหนี้ต่อ ซึ่งอาจทําได้ โดย หากลูกหนี้ชําระหนี้ระหว่างเข้าร่วมมาตรการให้ตัดชําระต้นทั้งจํานวน และรัฐอาจมีมาตรการ จูงใจเพิ่มเติม เช่น การให้เงินสมทบเพิ่มเติมเป็นสัดส่วนของการชําระหนี้ เป็นต้น
  3. การพักหนี้ในครั้งนี้ ควรเป็นการพักระยะสั้นเพียง 1 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับ การดําเนินมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มในระยะต่อไป โดยในระหว่างพักชําระหนี้ต้องกําหนดให้ ธ.ก.ส. ประเมินความสามารถในการชําระหนี้ของลูกหนี้ และปรับปรุงโครงสร้างหนี้เฉพาะรายให้แก่ลูกหนี้ ทุกรายให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นสุดระยะเวลาพักชําระหนี้ในปีแรก รวมถึงจัดเตรียมแนวทางและระบบงาน สําหรับดําเนินมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มลูกหนี้ที่มีปัญหาได้อย่างทั่วถึงในระยะต่อ ๆ ไป เพื่อป้องกัน คุณภาพสินเชื่อที่อาจกลายเป็นหนี้ด้อยคุณภาพเฉียบพลัน (NPL cliff effect) หลังสิ้นสุดมาตรการ
  4. การพักหนี้ในครั้งนี้จะสัมฤทธิ์ผลได้ รัฐจะต้องให้ความสําคัญกับการประชาสัมพันธ์ และสื่อสารทําความเข้าใจกับลูกหนี้ถึงเจตนารมณ์และเงื่อนไขของโครงการอย่างชัดเจน ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 ประเด็นหลัก ที่แตกต่างออกไปจากมาตรการในอดีต ได้แก่ 1. เกษตรกรต้องสมัคร เข้าร่วมโครงการ และต้องดําเนินการตามเงื่อนไขที่กําหนด 2. เมื่อเกษตรกรเข้าโครงการรัฐยังสนับสนุน ให้ลูกหนี้ยังชําระหนี้โดยมีมาตรการจูงใจ โดยการสื่อสารต้องทําให้ชัดเจนตั้งแต่ การประกาศนโยบายในวงกว้างจากรัฐบาล การสื่อสารมาตรการของ ธ.ก.ส. ไปยังประชาชนและพนักงานสาขาของ ธ.ก.ส. รวมถึง พนักงานสาขา ธ.ก.ส. จะต้องชี้แจงและให้ข้อมูลที่ครบถ้วนต่อลูกหนี้ที่แจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการเพื่อให้ลูกหนี้สามารถวางแผนบริหารจัดการหนี้ได้อย่างเหมาะสม

5\. กําหนดแผนการติดตามและประเมินประสิทธิภาพโครงการอย่างต่อเนื่อง และรายงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นประจํา เพื่อประเมินผลสําเร็จของโครงการ ความคุ้มค่าของงบประมาณ รวมทั้ง ติดตามการฟื้นฟูการประกอบอาชีพของลูกหนี้ว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของโครงการหรือไม่ เช่น การติดตามว่าเม็ดเงินที่รัฐได้ช่วยลดภาระการชําระหนี้ให้แก่เกษตรกร รวมถึงสินเชื่อเพื่อฟื้นฟูการประกอบ อาชีพที่มีการตั้งวงเงินเพิ่มเติมนั้น ได้นําไปลงทุน ปรับเปลี่ยน หรือขยายการลงทุนในการประกอบอาชีพและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้นตามเป้าประสงค์ของโครงการหรือไม่ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการทบทวนรายละเอียดของโครงการในระยะต่อไป

จากความเห็นดังกล่าว จึงทำให้มติครม.ที่ออกมา ถึงแม้จะกำหนดกรอบระยะเวลาการพักหนี้ไว้ 3 ปี แต่ ครม.ก็อนุมัติงบเบื้องต้นก่อนเฉพาะในปีแรกราว 1.2 หมื่นล้านบาท โดยในปีถัดไปอาจจะมีมาตรการอื่นออกมาเสริม 

ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะให้เกษตรกรเข้าโครงการแบบสมัครใจ และมีเงื่อนไขบางอย่างในการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มเติม เพื่อให้มั่นใจว่า เมื่อเข้ามาร่วมโครงการแล้ว จะทำให้เกษตรกรมีโอกาสที่จะหลุดพ้นจากสภาพการเป็นหนี้เรื้อรัง 

ข่าวน่าสนใจ

พักหนี้เกษตรกร ก็เป็นแค่ยาแดง

เกษตรกรอยากพักหนี้ โปรดเช็กก่อน

เกษตรกรยิ้มออก พักชำระหนี้ให้ 1 ปี

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์