ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า จากแรงหนุนมาตรการ EV 3.0 ที่ของรัฐบาลเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2565 ประเมินว่าตลอดทั้งปี 2566 รถยนต์ BEV มีโอกาสทำยอดขายได้สูงถึง 68,000 คัน เพิ่มขึ้น 405% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 8.6% ของยอดขายรถยนต์รวม
ส่วนในปี 2567 การทยอยเข้ามาเพิ่มเติมของรถยนต์ BEV ค่ายใหม่ๆ ในตลาด ส่งผลให้ตลาดยิ่งจะมีความคึกคักขึ้น รถยนต์ BEV จึงน่าจะมีโอกาสทำยอดขายในกรณีฐานได้เพิ่มขึ้นไปถึง 85,000 คัน โดยส่วนแบ่งขยับขึ้นเป็น 10%
กรณีที่ภาครัฐประกาศเดินหน้ามาตรการ EV 3.5 ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 และเงื่อนไขของมาตรการยังคงจูงใจค่ายรถ BEV ให้เข้าร่วมและผลักดันแผนการทำการตลาดที่สามารถกระตุ้นความสนใจของผู้ซื้อได้อย่างต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ยอดขายรถยนต์ BEV ในปี 2567 ปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาด
เบื้องต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่ายอดขาย BEV ในปี 2567 ในกรณีดีนี้ อาจขยับไปได้ถึงระดับ 100,000 คัน หรือขยายตัว 47% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน แม้ยอดขายรถยนต์ BEV ในไทยจะมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น แต่ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศโดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่สูง และการที่สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ยอดขายรถยนต์รวมในประเทศทั้งปี 2566 นี้ น่าจะหดตัว 6.0% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หรืออยู่ที่ 795,000 คัน แต่ประเมินว่ายอดขายตลาดในปี 2567 จะเติบโตอยู่ที่ 810,000 คัน หรือเติบโต 2% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน จากการที่เศรษฐกิจในประเทศได้แรงกระตุ้นจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ
ข้อมูลจากเว็บไซต์ autolifethailand.tv รายงานว่า ยอดจดทะเบียน รถไฟฟ้า 100 % หรือ BEV : Battery Electric Vehicle ในไทย เดือนกันยายน 2566 รวมอยู่ที่ 6,875 คัน
โดย 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 BYD Dolphin จดทะเบียน 1,621 คัน อันดับ 2 BYD Atto 3 จดทะเบียน 1,610 คัน อันดับ 3 NETA V จดทะเบียน 854 คัน อันดับ 4 ORA Good Cat จดทะเบียน 650 คัน และ อันดับ 5 MG EP จดทะเบียน 513 คัน
เช่นเดียวกับเว็บไซต์ CleanTechnica ได้ทำการรวบรวมข้อมูลยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV ที่ขายดีที่สุดทั่วโลกประจำปี 2566 พบว่าเดือนสิงหาคม 2566 ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินทั่วโลก ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า 100% และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 45% หรือราว 1,238,00 คัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
สำหรับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV ยอดขายสูงสุดประจำปี 2023 ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2023 พบ 5 อันดับแรก ได้แก่ BYD อยู่ที่ 1,704,360 คัน Tesla อยู่ที่ 1,177,908 คัน Gac Aion อยู่ที่ 308,769 คัน BMW อยู่ที่ 300,466 คัน และ Volkswagen อยู่ที่ 295,949 คัน
โดยที่น่าสนใจ คือ ยอดขายของ BYD และ Tesla ในดือนมกราคม - สิงหาคม 2566 ถือว่ามีสัดส่วนครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินทั่วโลกกว่า 1 ใน 3
