พาณิชย์ ไม่เห็นด้วย ขึ้นราคาน้ำตาล 4 บาท/กก. ชี้ขึ้นราคาไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
สายหวาน เตรียมรับมือราคาเครื่องดื่มต่างๆ อาจจะแพงขึ้น ราคาน้ำตาลทรายในประเทศ อาจปรับขึ้นราคาหน้าโรงงาน 4 บาท/กก. โดยแบ่งเป็นการปรับขึ้นราคาตามต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น กก.ละ 2 บาท และการเก็บเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย กก.ละ 2 บาท เพื่อนำไปจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ปลูกอ้อยที่ตัดอ้อยสดส่งเข้าโรงงานน้ำตาล โดยไม่ใช้วิธีการเผา เพื่อลดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ทำให้ราคาขายปลีกในประเทศต้องปรับขึ้นตาม
ล่าสุดวันนี้ ( 26 ต.ค.66) จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผย ใน การประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย หรือ กอน.ช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม 2566 มีตัวแทนจากกรมการค้าภายใน ร่วมให้ความคิดเห็นด้วย ซึ่งทาง กรมการค้าภายใน ได้มีเสนอว่าไม่อยากให้มีการขึ้นราคาน้ำตาลในครั้งเดียว 4 บาทต่อกิโลกรัม เพราะจะกระทบไปยังราคาสินค้า ทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ แต่หากจะมีการปรับราคา ขอให้ปรับขึ้นแบบสอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง เพื่อให้กระทบกับผู้บริโภคน้อยที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กอน. ก็มีการระบุเหตุผลในการที่จะปรับราคาน้ำตาลขึ้น ว่า จำเป็นต้องปรับราคาน้ำตาลเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก ซึ่งทางกรมการค้าภายใน ก็แสดงความเห็นต่อว่า ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิต ผู้ส่งออกน้ำตาลสามารถทำต้นทุนได้ถูกกว่า จึงไม่มีความจำเป็นที่จะปรับราคาให้สูงเท่ากับราคาของตลาดผู้นำเข้า หรือ ราคาในตลาดโลก
โดยความเห็นจากทาง กรมการค้าภายใน เป็นเพียงข้อเสนอเท่านั้น เนื่องจากการปรับการรับซื้อราคาน้ำตาลหน้าโรงงาน หรือไม่นั้น เป็นอำนาจของ คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย หรือ กอน. และกระทรวงอุตสาหกรรม
หาก กอน. มีมติเคาะปรับ ดันราคาน้ำตาลขายปลีกพุ่ง 23-29 บาท/กก.
ปัจจุบัน ราคาหน้าโรงงาน น้ำตาลทรายขาวธรรมดาอยู่ที่ กก.ละ 19 บาท น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ กก.ละ 20 บาท ขณะที่ราคาขายปลีกในท้องตลาด น้ำตาลทรายขาวธรรมดา กก.ละ 24 บาท น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ กก.ละ 25 บาท
หากคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) มีมติให้ปรับขึ้นราคา กก.ละ 4 บาทจริง จะมีผลให้ราคาหน้าโรงงาน น้ำตาลทรายขาวธรรมดาปรับขึ้นเป็น กก.ละ 23 บาท น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ปรับขึ้นเป็น กก.ละ 24 บาท ขณะที่ราคาขายปลีกจะปรับขึ้นไปเป็น กก.ละ 28 บาท และ กก.ละ 29 บาทตามลำดับ
ทั้งนี้ ความพยายามปรับขึ้นราคาครั้งนี้เป็นผลมาจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นมาก จากราคาอ้อยที่สูงขึ้น เพราะภัยแล้งที่ทำให้ผลผลิตลดลง คาดว่าการหีบอ้อยฤดูการผลิตปี 66/67 ผลผลิตอาจเหลือเพียง 75-80 ล้านตัน หรือลดลง 10% จากปี 65/66
