หอการค้าฯ หนุนรัฐเร่งแก้หนี้อย่างยั่งยืน

21 ธ.ค. 2566 - 04:33

  • หอการค้าฯ เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่จะแก้ไขปัญหาหนี้

  • จะนำประเด็นดังกล่าวไปหารือในที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน

  • หาแนวทางที่เหมาะสมในการช่วยเหลือลูกหนี้ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs

economy-debt-solved-sme-ptcc-SPACEBAR-Hero.jpg

สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารหอการค้าฯ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 โดยมีประเด็นสำคัญในการรับฟังแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งในและนอกระบบของภาครัฐ จากกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่เรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

กิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย กล่าวถึงมูลหนี้ทั้งหมดในระบบของประเทศไทย ครอบคลุมหนี้ครัวเรือนจำนวน 16 ล้านล้านบาท หรือมากกว่าร้อยละ 90 ของ GDP โดยในส่วนของข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จะพบว่ามีมูลหนี้อยู่ประมาณ 13.5 ล้านล้านบาทประกอบด้วย 

  • หนี้บ้าน 4.9 ล้านล้านบาท 
  • หนี้เช่าซื้อ 2.6 ล้านล้านบาท 
  • หนี้บัตรเครดิต 5.4 แสนล้านบาท 
  • หนี้ส่วนบุคคล 2.5 ล้านล้านบาท 
  • หนี้เกษตร 8.7 แสนล้านบาท 
  • หนี้พาณิชย์ 6.7 แสนล้านบาท 
  • หนี้อื่น ๆ 1.3 ล้านล้านบาท 

รวมลูกหนี้ทั้งหมดจำนวน 100 ล้านบัญชี ซึ่งในทั้งหมดนี้มีหนี้ที่เป็น NPL สูงถึง 1 ล้านล้านบาท 

ส่วนมูลหนี้ที่เหลืออีกจำนวน 2.5 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์สำหรับข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ, กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. โดยหนี้ทั้ง 2 กลุ่มนี้บางส่วนได้รับการแก้ไขและมีความชัดเจนมากขึ้น เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้คงอยู่ในระดับที่เหมาะสม

ภาพในข่าว1.jpg

ขณะเดียวกันจากการติดตามปัญหาหนี้นอกระบบ เชื่อว่ามีจำนวนมูลหนี้อยู่อีกไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้มีการแก้ไข พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด คือ การปล่อยกู้เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีหรือเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยการจัดการหนี้นอกระบบจะเป็นไปตามกระบวนกฎหมาย ผ่านกระบวนการไกล่เกลี่ยและนำไปสู่ข้อยุติ โดยเจ้าหนี้สามารถจดทะเบียนใบอนุญาตปล่อยสินเชื่อเข้าในระบบที่ถูกต้องได้ เช่น นาโนไฟแนนซ์ หรือ พิโกไฟแนนซ์ เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม ภาวะหนี้สินทั้งประเทศที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องอันตรายและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ รัฐบาลชุดปัจจุบันได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขหนี้ทั้งระบบอย่างสุดความสามารถ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยทุก ๆ 1% ที่ลดลงจะช่วยรักษาสถานภาพของผู้กู้จำนวนหนึ่งให้ไม่เข้าสู่การเป็นหนี้ NPL โดยสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ในการช่วยกันหาแนวทางและมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ทุกกลุ่มหรือเท่าที่จะสามารถดำเนินการได้ก่อน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบเกิดผลสำเร็จและมีผลอย่างยั่งยืน โดยภาคธุรกิจสามารถมีส่วนสนับสนุนแนวทางดังกล่าวได้ด้วย เช่น การออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในกลุ่มพนักงานหรือภายในบริษัทที่กำกับ ทำให้ภาระหนี้ของพนักงานลดลง เป็นต้น

ภาพในข่าว2.jpg

ด้านสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังการรับฟังและหารือเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบของรัฐบาลว่า หอการค้าฯ เห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่จะแก้ไขปัญหาหนี้ให้เกิดผลสำเร็จ ซึ่งในส่วนของหอการค้าฯ และเครือข่ายพร้อมให้การสนับสนุนและร่วมมือกับรัฐบาล และจะนำประเด็นดังกล่าวไปหารือในที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการช่วยเหลือลูกหนี้ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ให้มีศักยภาพในการชำระหนี้และมีเงินหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจให้เดินหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์