จากกรณี กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO เตรียมเข้าพบ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอให้มีการพิจารณาส่งเสริมการลงทุนในตลาดทุนระยะยาวมากขึ้น โดยสรุปมี 4 ประเด็นหลัก ได้แก่
1.ขอให้มีการต่ออายุสิทธิประโยชน์ทางภาษีของกองทุน SSF ที่จะสิ้นสุดในปี 2567
2.ขอให้มีการจัดตั้งกองทุนใหม่ๆ กองทุนสำหรับช่วงวัยเด็ก วัยทำงาน หรือ วัยสูงอายุ
3.พิจารณานำกองทุน LTF กลับมาใหม่อีกครั้ง
4.กองทุนระยะยาวเพื่อความยั่งยืน
สำหรับประเด็นการรื้อฟื้นกองทุน LTF ให้กลับมา เป็น 1 ใน 4 ข้อเสนอ ที่มีเป้าหมาย คือ การสนับสนุนให้นักลงทุนรายย่อยลงทุนในตลาดทุนมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยราว 29.18% เท่านั้น โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลมีนโยบายให้กองทุน LTF สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2562 และใช้กองทุน SSF แทน
กองทุน LTF และ กองทุน SSF ต่างกันยังไง ?
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว LTF (Long – Term Equity Fund ) คือ กองทุนรวมที่เน้นการลงทุนระยะยาวในหุ้น ซึ่งเงินลงทุนใน LTF สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีทั้งปี และไม่เกิน 500,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 7 ปีปฎิทิน สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2562
ส่วน กองทุนรวมเพื่อการออม SSF (Super Savings Fund) คือกองทุนน้องใหม่มาทดแทน LTF เริ่มใช้เมื่อต้นปี 2563 สามารถใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีทั้งปี ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับค่าลดหย่อนการออมเพื่อเกษียณอื่นๆไม่เกิน 500,000 บาท ถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ และไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
‘กองทุน LTF’ สิทธิประโยชน์ 2 เด้ง ลดภาษี-กำไรหุ้น
นฤมล บุญสนอง นักวางแผนการเงิน CFP® มองว่า จากกรณีที่สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และนักลงทุนบางส่วน เสนอให้ รัฐบาลนำกองทุน LTF กลับมาเป็นเรื่องที่ดี และเธอขอเป็นหนึ่งเสียงที่สนับสนุนเรื่องนี้ เพราะกองทุน LTF สนับสนุนให้นักลงทุนนานถึง 7 ปี ซึ่งผลตอบแทนในระยะยาวได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี โดยกองทุน LTF เป็นการลงทุนในหุ้น
และรวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ 2 คือ ผู้ลงทุนสามารถนำวงเงินที่ซื้อไปลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งในอดีตให้วงเงินสูงถึง 500,000 บาท ทำให้นักลงทุนตัดสินใจง่ายขึ้นที่จะใช้เครื่องมือกองทุน LTF ในการลงทุนและลดหย่อนภาษีได้ในเวลาเดียวกัน
และแม้ที่ผ่านมา รัฐบาลจะมีกองทุนรวมเพื่อการออม SSF มาทดแทน แต่ต้องบอกว่าในทางปฎิบัติสามารถนำมาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 200,000 บาท และต้องนำวงเงินนี้ไปรวมกับค่าลดหย่อนการออมเพื่อเกษียณอื่นๆไม่เกิน 500,000 บาท หมายความว่า เพดาน 500,000 บาท นี้ ต้องนำไปรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF (Retirement Mutual Fund) ด้วย ทำให้ผู้ลงทุนต้องไปคำนวณกับตัวลดหย่อนอื่นๆ เงื่อนไขนี้จึงไม่จูงใจเหมือนกองทุน LTF ในอดีต
ส่วนข้อเสนอที่อยากให้มีการตั้งกองทุนใหม่ๆ ขึ้นเพื่อดึงดูดการลงทุน นักวางแผนการเงิน CFP รายนี้ ไม่เห็นด้วย เพราะมองว่า ควรทบทวนให้มีการนำไ/กองทุน LTF กลับมาจะดีกว่า เพราะนักลงทุน ผู้แนะนำการลงทุน รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เข้าใจเงื่อนไขเดิมของกองทุน LTF อยู่แล้ว ไม่ต้องทำความเข้าใจ และสร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้นมา
“ตั้งกองทุนใหม่ นักลงทุนก็ไม่รู้จัก ประสิทธิภาพมันเป็นยังไง แต่ กองทุน LTF เวลาหุ้นตก คนก็ซื้อพิสูจน์ในอดีตว่า มันมีประสิทธิผล ทำให้มีเงินก้อนช่วงเกษียณ”
นฤมล บุญสนอง นักวางแผนการเงิน CFP® และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ นักลงทุน จี้ฟื้นกองทุน LTF
ข้อเรียกร้องนี้ สอดคล้องกับ ความเห็นของ อธิป กีรติพัชญ์ นักลงทุน Fundamental VI ที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวระดับสูง ประจำปี 2566 ว่า การหมดอายุของกองทุน LTF ตั้งแต่ปี 2563 พบว่าเม็ดเงินของสถาบันการลงทุนหายไปอย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากกองทุน LTF มีส่วนสำคัญที่จะมารักษาสมดุลกับนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนรายย่อย
อธิป จึงเสนอให้รัฐบาลฟื้นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF กลับขึ้นมาอีกครั้ง เพราะจะทำให้นักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน สามารถออมเงินเพื่อวัยเกษียณให้กับตัวเองและครอบครัวและช่วยประหยัดภาษี หนุนให้เม็ดเงินที่ลงทุนช่วยสร้างสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นไทยด้วย