อลิศรา มหาสันทนะ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ธปท. มีมุมมองว่า ปัจจุบัน “ทองคำ” ยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยสำคัญ (Safe Haven) ที่ช่วยป้องกันทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่มีอยู่ราว 2.1 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 7.5 ล้านล้านบาท) จากความผันผวนของตลาดเงิน ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อสูง และความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์เริ่มขยายวงมากขึ้น
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รองผู้ว่าการ ธปท.ระบุว่า แบงก์ชาติได้เพิ่มการถือครองทองคำสำรองตลอด เพื่อบริหารความเสี่ยงในสัดส่วนการลงทุนของ ธปท. ซึ่งจากข้อมูลล่าสุด พบว่าปัจจุบัน ทุนสำรองของไทย มีมูลค่าทองคำสำรองของไทยเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่านับตั้งแต่ปี 2562 คือ เพิ่มจากระดับ 7.5 พันล้านเหรียญ สหรัฐฯ ขึ้นมาสูงถึง 1.56 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 5.6 แสนล้านบาท ซึ่งมาจากการซื้อทองคำเข้ามาเป็นทุนสำรองเพิ่มขึ้น ประกอบกับระดับราคาทองคำมีทิศทางขาขึ้นมาตลอด
ปัจจุบันประเทศไทย มีทุนสำรองสูงเป็นอันดับ 11 ของโลก ซึ่งนอกจาก ธปท.แล้ว ยังมีธนาคารกลางอีกหลายประเทศที่สนใจในทองคำ เช่น จีน โปแลนด์ และตุรกี ซึ่งต่างเพิ่มการถือครองทองคำสำรองของตน เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั่วโลก
ทั้งนี้ ทองคำกลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่โดดเด่นที่สุด นับตั้งแต่กลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ราคาทองคำพุ่งราว 9% หลังจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น
สำหรับ ธปท. การกระจายความเสี่ยงเงินทุนสำรองกลายเป็นเรื่องที่จำเป็นมากขึ้น หลังจากที่มูลค่าเงินคงคลังของประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ถูกถือในรูปเงินตราต่างประเทศ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และเงินดอลลาร์ ร่วงลงราว 47,000 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 258,000 ล้านดอลลาร์ในเดือน ธ.ค.2563
